อินโดนีเซีย 2017

ตอนแรกก็ขี้เกียจเขียน ว่าจะแค่อัพรูปนิดหน่อยพอ ..  แต่ยิ่งใกล้วันเดินทางยิ่งมีเรื่องตื่นเต้นขึ้นทุกที จนไม่ไหวล่ะ ขอเขียนละกัน

เริ่มจากทริปนี้วางแผนง่อยๆว่าจะไป 4 คน …จนตอนหลังเหลือไป 3 คน แถมยังมีแววว่าจะเหลือน้อยกว่านั้นอีก

 

เริ่มจาก .. อีกสองวันก่อนเดินทาง

เมื่อเสี่ยเบิร์ดไปแลกเงินรูเปีย (IDR) .. ก็พบว่าร้านที่ไปแลกไม่มีเงินอินโดนีเซีย …

ข้าพเจ้าก็โทรไปร้านที่แลกประจำตรงนานา ร้านก็บอกว่ามีอยู่ประมาณ 8000 กว่าบาทไทย (ค่าทัวร์โบรโมต่อคนก็จะ 7000 บาทอยู่แล้ว) สรุปว่าไม่พอ ก็เลยไม่ไปแลก

ดีที่เสียเบิร์ดหาร้านแลกได้อีกร้าน เป็น Super Rich ไม่แน่ใจว่าสีอะไร เลยรอดตัวไป … สรุปได้ว่าเงินอินโดไม่ได้หาง่ายๆนะ ถ้าแย่จริงๆอาจจะต้องแลก USD ไปแล้วไปแลกที่นู่นอีกที

#เงินรูปีเป็นของอินเดียแต่ถ้าเงินรูเปียนี่เป็นอินโดฯนะ … อย่าสับสน

เมื่อเราจ่ายเงินสมทบประกันสังคมเกินกว่าปกติ

เรื่องของเรื่องคือ ปีที่แล้วได้ย้ายงาน … และในการย้ายงานครั้งนี้แปลกว่าครั้งก่อนๆของตัวเองคือ หยุดงานในที่เก่า และมาเริ่มที่ทำงานใหม่ ในเดือนเดียวกัน

สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ทั้งที่ทำงานเก่า และที่ทำงานใหม่ ล้วนจ่ายเงินเดือนเราตอนสิ้นเดือน รวมถึงหักเงินเพื่อส่งประกันสังคมเช่นเดียวกัน

ปีที่แล้วทั้งปี เราเลยจ่ายเงินค่าประกันสังคมทั้งสิ้น 13 เดือน … แทนที่จะเป็น 12 เดือนตามปกติ

ตอนกรอกภาษีรายได้บุคคลธรรมดาสำหรับปีที่แล้ว ก็จะพบว่า เราสามารถหักค่าลดหย่อนสำหรับประกันสังคมได้สูงสุดแค่ 12 เดือน (คุณ 750 บาท)

 

… ผ่านไปครึ่งปี ผมก็ได้รับจดหมายจากกองทุนประกันสังคม แจ้งว่าเราจ่ายเงินไว้เกิน ให้รับคืนได้ … ถือว่าน่าชื่นชมที่มีจดหมายมาแจ้ง เพราะบางทีเราก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร

จดหมายแจ้งรับเงินที่จ่ายไว้เกิน

ในการรับเงินคืน มีเอกสารที่ต้องใช้ คือ

1. เอกสารคำร้อง ซึ่งแนบมาด้วยกับจดหมาย

2. รายละเอียดเงินสมทบเกิน ก็แนบมาด้วยเช่นกัน

3. สำเนาบัตรประชาชน

4. สำเนาสมุดบัญชีธนาคาร

 

แต่ๆๆๆ เราต้องส่งเอกสารทั้งกลับไปภายในเดือนกันยายน ซึ่งหมายความว่า เรามีเวลาประมาณ 90 วันในการจัดกันกับเรื่องนี้ … ที่ดูจะน้อยไปนิด เมื่อเทียบกับเวลาที่ผ่านไปครึ่งปี

 

เดี๋ยวจะลองทำตามขั้นตอน หวังว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย

วีซ่าเมกา

เพิ่งจะไปทำวีซ่าอเมริกามา (aka. เมกา) เอาไว้ไปเยี่ยมหลาน เลยขอจดไว้นิดนึง …

คำเตือน คำถามที่ใช้สัมภาษณ์ของแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน ไม่แนะนำให้คาดว่าจะเจอคำถามน้อยแบบนี้

 

เอกสาร

กรอกใบสมัคร (DS-160)… คำถามส่วนใหญ่ สั้น กระชับ ตอบง่ายกว่าเมื่อเทียบกับ UK รูปถ่ายต้องเตรียมไฟล์ Digital ไว้ด้วยเพื่ออัพโหลดไปที่ใบสมัคร เอาสะดวกก็ไปถ่ายที่ร้านแล้วก็ขอไฟล์เค้า (แน่นอนว่าจ่ายตังเพิ่ม)

…  เมกานี่ตรงที่ ให้เตรียมเอกสารที่คิดว่าจำเป็นที่จะพิสูจน์ว่าตัวเองจะกลับมาไทยมาให้ดู … มันยากตรงนี้แหล่ะ คือไม่ระบุชัดว่าต้องเตรียมอะไรบ้าง ส่วนตัวเตรียมดังนี้

  • ใบรับรองการทำงาน + ระบุเงินเดือน + ระบุวันลา จะดีมากถ้ามาประโยคอย่างเช่น หลังจากครบกำหนดแล้วจะกลับมาทำงานตามปกติ
  • Bank guarantee + Bank statement
  • สลิปเงินเดือน 3 เดือนย้อนหลัง
  • ทะเบียนบ้าน (ไม่รู้เอาไปทำไมเหมือนกัน 55+)
  • สำเนาพาสปอร์ตของคนที่เราจะไปเยี่ยม
  • พาสปอร์ตทุกเล่มที่มี
  • รูปถ่าย 2×2 นิ้ว

 

เมื่อกรอกใบสมัครเสร็จ ก็ทำเรื่องจ่ายเงิน .. ตัวเองไปจ่ายด้วยเงินสดที่แบงค์กรุงศรีฯ หลังเที่ยงวันถัดไปจะสามารถทำการนัดสัมภาษณ์ได้

 

วันสัมภาษณ์

นัดสัมภาษณ์รอบ 7.30 ซึ่งเดินชิลๆไปถึงสถานที่ก่อน 7 โมง ซึ่งก็พบว่ามีคิวยาวพอสมควร (20 คน++) สำหรับรอผ่าน Security เข้าไป จากที่สังเกตุก็พบว่า คนรอบ 8 โมงก็มาต่อแถวกันพอสมควร เลยทำให้แถวยาวเกินความจำเป็น กว่าจะผ่านแถว Security เข้าไปได้ก็กินเวลาเกือบ 20 นาที ข้างในมีกาแฟดอยดุงขาย แต่ว่าเสียเวลากับฝ่าด่านความปลอดภัยนาน พอเข้าไปเค้าก็แทบจะเรียกคิวทันที

  • กระเป๋าใบเล็กๆเค้ายอมให้เอาเข้าไปได้
  • โทรศัพท์มือถือห้ามเอาเข้า และยอมให้ฝากได้แค่คนละเครื่องเท่านั้น
  • กระเป๋าตังค์และกุญแจรถเอาเข้าไปได้
  • ควรมีปากกาเข้าไปจดรหัส EMS ที่เอาไว้ Track status ด้วย

..ด้วยความที่ชิลเกิน คือตัวเองไม่ได้เอาปากกาไป เลยต้องนั่งท่องเลข EMS เพราะหลังจากเสร็จกระบวนการ เราจะไม่ได้เห็นเลขนั้นอีก 555+ ดีว่าเลขสวยเลยจำไม่ยาก

พอเรียกคิวตามรอบแล้ว จะมี 3 ขั้นตอน คือ

  1. จนท. คนไทยเรียกดู passport กับใบนัด โดยจะแยกออกมาใส่แฟ้มตังหาก
  2. เข้าไปในอาคาร ต่อคิวเพื่อตรวจเอกสาร ยื่นแฟ้มจากข้อ 1 ตรวจสอบชื่อสกุล เช็คประวัติ พิมพ์ลายนิ้วมือ
  3. ต่อคิวสัมภาษณ์ ยื่นแฟ้มจากข้อ 1 ถ้าเค้าขอเอกสารเพิ่มเติมค่อยให้ดูในขั้นตอนนี้

กระบวนการทั้งหมดกินเวลาประมาณ 1 ชม.

 

สัมภาษณ์อะไรบ้าง ?

คนสัมภาษณ์ทุกคนเป็นชาวต่างชาติที่พูดไทยได้ พอถึงคิวของตัวเองเค้าถามว่า

  • ไปทำอะไร … อันนี้ตอบว่าไปเที่ยวกับไปเยี่ยมหลาน
  • ไปเมื่องไหน … ก็ตอบไป
  • เคยไปประเทศอื่นมาหรือไม่  … ก็ตอบไป พร้อมกับขอดู Passport เล่มเก่า กับถามว่าไปทำอะไรที่ประเทศนั้น ก็ตอบไป
  • จะไปอยู่เมกานานเท่าไหร่ … อันนี้ตอบ 2 weeks

เป็นอันว่าจบของตัวเอง ใช้เวลาน้อยกว่า 2 นาที ซึ่งเค้าไม่ขอดูเอกสารใดๆที่เตรียมไปเลย (อาจจะเป็นเพราะหน้าตาดี)  … ส่วนตัวคิดว่า ถ้าตอบเป็นภาษาอังกฤษได้ตอบเป็นอังกฤษไปเลยจะชิวกว่าเยอะ คิดว่าที่เค้าถามน้อยๆเพราะส่วนนึงตอบเป็นภาษาอังกฤษด้วย (มั้ง)

แต่ๆ ตอนตอนที่ยืนต่อแถวรอสัมภาษณ์ก็จะได้ยินคำถามออกมาบ้างเป็นระยะๆ (ถ้าคนสัมภาษณ์เปิดเสียงดัง) พบว่า เค้าถามคืนอื่นๆดังนี้

  • ทำงานอะไร ทำมากี่ปีแล้ว
  • ใครออกค่าใช้จ่ายให้ ขอดูหลักฐานทางการเงิน
  • ไปเที่ยวเมืองไหน กับทัวร์รึเปล่า ทัวร์ชื่ออะไร
  • ถ้าไปเป็นครอบครัวก็เหมือนจะถามครบทุกคน คือให้เจ้าตัวแต่ละคนตอบเองทุกคน แล้วครอบครัวทุกกลุ่มเหมือนจะถามละเอียดมาก
  • ไปกับใคร ไปนานเท่าไหร่ มีหลักฐานทางการทำงานมั๊ย

เพราะดูเหมือนหลักฐานที่เตรียมๆไปก็อาจจะได้ใช้ ถ้าเค้าจะขอดู ส่วนใหญ่ใช้เวลากันประมาณ 5 นาที/คน

 

… จบ

ซักนิดกับการทำงานครบรอบ 10 ปี …

สมัยเด็กๆ เรามีเป้าหมายง่ายๆ คือตั้งใจเรียน … แป๊บๆเดียวก็ปิดเทอมแล้ว เดี๋ยวก็ขึ้นชั้นใหม่ แก่ขึ้นทีละนิด แต่เป้าหมายก็ปิดเทอมเหมือนเดิม สิ่งที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมาหน่อยก็คือ สอบเข้ารร. สอบเข้ามหาวิทยาลัย … สอบโปรเจค

 

แล้วพอเรียนจบล่ะ  … มันไม่มีแล้วนะ ปิดเทอมน่ะ อย่างเก่งวันหยุดยาว ที่นานน๊านนนจะมีซักที หรือไม่ก็ต้องลาพักร้อน ที่มีอยู่อย่างจำกัดจำเขี่ย .. (แต่เชื่อมั๊ยว่าบ้านเรานี่อยู่ในกลุ่มที่มีวันหยุดราชการเยอะกว่าประเทศอื่นๆพอสมควรเลย)

 

แต่ 10 ปีผ่านไป เราก็อยู่ได้โดยไม่มีปิดเทอม มีความสุขดีกับการทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือน ที่คนในยุคใหม่พยายามหลีกหนี … เรายังตื่นเช้ามามีพลังลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวมาทำงาน มีบ้างที่เหนื่อยๆ แต่วูบนึงผ่านไปก็ดีขึ้น ไม่ได้มีอะไรคาใจ ทยอยเรียนรู้สิ่งใหม่ๆทั้งด้วยตัวเอง และจากคนอื่นๆ … มีสิ่งที่เรายังไม่รู้มากมายเหลือเกิน … บางครั้งรู้สึกว่าเราโชคดี ที่ได้เรียน ได้ทำงานในสายงานที่ชอบ ได้เห็นว่าผลงานของเราทำให้ชีวิตคนอื่นง่านขึ้น ได้แก้ปัญหาที่ผู้คนพบเจอแต่ละวัน … ส่วนปัญหาที่สร้างเราจะละไว้ ไม่พูดถึงนะ

 

ทั้งหมดทั้งปวงที่เกริ่นมา เพื่อจะจดบันทึกสิ่งที่คิดว่าตกผลึกจากการทำงานมาของตัวเอง จะเรียกว่าเป็นสิ่งที่ยึดถือปฏิบัติมาก็ได้ ซึ่งอาจจะไม่ได้ถูกทั้งหมดซักทีเดียว ยังไงก็ร่วมแชร์ความเห็นกันได้ อีกสิบปีกลับมาอ่านจะได้รู้ว่าเราเติบโตไปมากน้อยแค่ไหน ให้ความสำคัญกับเรื่องที่ถูกรึเปล่า …

Scroll to top