ย่าติง – จีน 2018 – ตอนที่ 2

มาต่อกันตอนที่สอง เที่ยวสิบวัน ใช้เวลาเขียนบล็อกไปสามเดือน – -” … อ่านตอนแรกที่ได้ที่นี่

แชงกรีลา (Shangri-la)

4-5 ชั่วโมงหลังจากนั่งรถบัสมาจากลี่เจียง เราก็มาถึงแชงกรีลากัน ลงรถที่สถานีขนส่งเช่นกัน …. ก่อนออกจากจสถานีขนส่งเราก็จัดแจงซื้อตั๋วรถบัสที่ต้องเดินทางไปเมือง Daocheng ในวันรุ่งขึ้น รถบัสเที่ยวนี้ค่อนข้างสำคัญ เพราะมีแค่เที่ยวละวัน แล้วใช้เวลาเดินทางประมาณ 8 ชม. ถ้าพลาดนี่จะมีปัญาตามมาเยอะเลย

ที่แชงกรีล่านี่เราก็มีปัญหากับพิกัดตำแหน่งกับ Google Maps อีกเช่นกัน คือตามพิกัดที่ดูมา รร.จะอยู่ห่างสถานีขนส่งประมาณกิโลกว่าๆ เราก็เลือกเดินกันชิลๆไป เพราะอากาศก็เย็นๆล่ะ เดินไปถึงจุดที่ควรจะเป็นรร. ก็พบว่ามันไม่มี !! ไม่มีอะไรบ่งชี้ได้เลยว่าตรงนี้ควรจะเป็นโรงแรมงี้ คือเดินมาถึงเป็นตรอกเล็กๆคล้ายๆตลาดที่มีแต่คนจีน 

จนเพื่อนเปิด Apple maps ก็พบว่ามันอยู่คนละที่เลย ชนิดที่ว่าเดินไปไม่ได้ด้วยซ้ำ สุดท้ายต่อรถเมล์ไปแล้วเดินต่ออีกหน่อย กว่าจะถึง … รถเมล์ที่แชงกรีลานี่เหมือนจะแพงกว่าที่อื่น จำไม่ได้ว่า 5 หยวนมั้ง (ที่คุณหมิงหยวนเดียว) หลังจากเข้าที่พัก เราก็ออกไปเที่ยวกัน เพราะอยู่แชงกรีลาแค่คืนเดียวเอง 

ที่แรกที่ไปคือ พระราชวัง (หรือวัดนะ) แบบทิเบต (Songzanlin Lamasery) … ที่อยู่นอกเมืองออกไปหน่อย ตอนไปก็เรียกแท็กซี่ไป ซึ่งให้ความรู้สึกอบอุ่นราวกับอยู่บ้านเรา ก็คือ ต้องเหมาจ้า .. ไม่เปิดมิเตอร์ใดๆ เรียกมา 10 หยวนมั้ง ก็เออๆออๆไป เพราะมันใกล้จะปิดแล้ว ไม่มีทางเลือก ได้แค่รีบๆไป .. ส่วนขากลับนั้นก็อยู่นอกเวลารถเมล์แล้ว ก็เลยต้องเหมาเอา เราไปแวะวัด ที่คนไทยชอบแวะกัน

ก่อนกลับเราแวะไปที่วัดที่คนไทยชอบไปกัน จำชื่อไม่ได้เป็นวัดที่มีกงล้อ มีคนออกมาเต้นรำกันด้วย น่ารักดี เสียดายว่าส่วนที่เป็นกงล้อที่เค้าว่ากันว่ามันหมุนไม่เคยหยุด .. นั้นหยุดสนิทเพราเค้าปิดซ่อม… เศร้าไป

มื้อเย็นเรากินชาบูเนื้อ Yak (จามรี) กัน ร้านไร้ซึ่งภาษาอังกฤษใดๆ สั่งแบบมั่วๆงงก็พอกินได้อยู่นะ ถ้าไม่นับว่าปวดฟันนะ ><

ส่วนที่พักคืนนี้มีเรื่องให้แปลกใจเล็กน้อย คือเริ่มออกนอกเมืองใหญ่ แล้วที่พักคืนนี้ก็ไม่ค่อยแพงมาก พอไม่อยู่ห้อง ไฟในห้องก็จะดับ พอเรากลับมา กำลังจะอาบน้ำก็พบว่า เครื่องทำน้ำร้อนในห้องเป็นแบบหม้อต้มไฟฟ้า พอไม่มีไฟมันก็ไม่ทำงาน สุดท้ายก็นั่งรอไปชั่วโมงกว่าๆเพื่อให้น้ำร้อนพอจะอาบน้ำ อุณหภูมิตอนนั้นก็แค่ประมาณ -2 เอ๊ง …

รีว่า (Riwa)

เราออกจากที่พักตั้งแต่ยังไม่สว่าง ออกไปขึ้นแท็กซี่ไปสถานีรถ … ไปถึงก็ซื้อซาลาเปา ไข่ต้ม กินรองท้องก่อน เสร็จแล้วก็ขึ้นรถ … เพื่อจะพบว่ารถมีประมาณเกือบๆ 40 ที่นั่ง คนไทยไม่น้อยกว่าครึ่งคัน !! เรานั่นกันไปแบบงงๆไม่ค่อยรู้ว่าจะถึงเมื่อไหร่ เปิด Google Maps ดูก็พบว่าถนนที่เราวิ่งอยู่นั้นไม่มีอยู่ใน Maps เลย 555

มีจอดแวะพักหนึ่งครั้ง โชคดีที่ได้พี่คนไทยบอกว่าเค้าให้ทานอาหาร จ่ายไป 30 หยวนเลือกกับข้าวได้สามอย่าง ข้าวตักเอง .. ก็กินๆไปก่อน เพราะไม่รู้ว่าจะได้กินอีกทีคือเมื่อไหร่

หลังจากเรานั่งมาเรื่อยๆจนประมาณบ่ายสอง ก็พบว่ามีแกนนำสองคนขึ้นมาประกาศทำนองว่า มีใครสนใจจะไป Riwa เพื่อจะไป Yading มั๊ย เพราะว่ารถบัสคันนี้จะไปยังเมือง Daocheng การไป Riwa ต้องต่อรถจาก Daocheng ไปยัง Riwa อีกที ถ้ามีคนไป Riwa เยอะพอ เค้าจะมีรถบัสมาตัดตอนรับจากกลางทางไป Riwa เลย สรุปคนก็ยกมือเกือบทั้งคัน เลยโชคดีได้ต่อไปเมือง Riwa เลยในวันเดียวกัน เสียเงินเพิ่มคนละ 50 หยวน

ตกประมาณ 4 โมง เราก็ถึงเมือง Riwa … หลังจากนั้นก็เข้าพักโรงแรม หาอาหารเย็นกิน ซื้ออ็อกซิเจนกระป๋อง เตรียมตัวนอนเพื่อออกเดินทางเข้าไปยังอุทยานแห่งชาติย่าติงในวันรุ่งขึ้น วันนี้เป็นวันเดินทางอย่างแท้จริง

ย่าติง (Yading)

ย่าติงวันที่หนึ่ง

ในที่สุดเราก็มาถึงแล้ว อุทยานแห่งชาติย่าติง เราออกจากรร.ตอนเช้า เดินงงๆมาดักรถบัสที่วิ่งมาจากสนามบิน Daocheng ไปยังอุทยานฯย่าติง ค่ารถไม่กี่หยวน เมืองถึงปากทางเข้าอุทยาน ก็ต้องจัดการซื้อตั๋ว เซ็นชื่อเข้าอุทยาน เสร็จแล้วก็ขึ้นรถบัสเข้าไปยังตัวอุทยานจริงๆ

รถบัสใช้เวลาประมาณเกือบชั่วโมงเพื่อเข้าไปในตัวอุทยานฯ แผนการของเราวันนี้คือเราลงหมู่บ้านเล็กๆระหว่างทางเข้าไปอุทยานเพื่อหาที่พัก เพราะเราจะเดินในอุทยานประมาณสองวัน

แต่แล้วแผนการก็ต้องเปลี่ยนไป เพราะตอนนั่งรถบัสอยู่ๆคนขับก็ตะโกนอะไรซักอย่างมาสามสี่ประโยค ทั้งคันไม่มีใครตอบ .. แน่นอนว่าเราฟังไม่รู้เรื่อง …จนถึงจุดนึงเราก็ถึงบางอ้อว่า คนขับตะโกนถามว่าจะมีใครลงหมู่บ้านใหม่ แต่นอนว่าไม่มีใครจะลง ยกเว้นพวกเรางั๊ย !!!

เลยต้องปรับแผนเป็นฝากกระเป๋าที่อุทยานแล้วเดินเที่ยวก่อน แล้วตอนเย็นค่อยออกเร็วหน่อยเพื่อไปหมู่บ้านแล้วหาที่พัก

ที่ย่าติงจะมีหลักๆสองระยะให้เดิน คือรอบเล็กกิโลกว่าๆ กับรอบใหญ่ที่เดินนานหน่อย วันนี้เราเลยเดินรอบเล็กกัน มีวัดแบบทิเบตและทะเลสาบเล็กๆ ที่มีฉากหลังเป็นภูเขาหิมะ สวยคุ้มค่ากับการเดินทางมาก

เราพบด้วยว่าชาวจีนที่มาเที่ยวที่นี่ใจดีมาก มีทั้งแบ่งปันขนมของกิน … ผมทำถุงมือหล่นในวัด พอเดินกลับมาหา พระก็ช่วยๆชี้บอกว่าหล่นตรงนู้นๆ ถือว่าประทับใจมากเลย

เราออกจากตัวอุทยานเร็วหน่อย เข้าไปหมู่บ้านเพื่อหาที่พัก .. ขาออกมาดีหน่อยตรงที่เค้าแยกช่องไว้ว่าคนจะมาหมู่บ้านขึ้นรถช่องนึง คนจะออกไปปากทางอุทยานขึ้นรถอีกช่องนึง ได้ความช่วยเหลือจากคนบนรถก็ทำให้เราลงป้ายหมู่บ้านได้ไม่ยากนัก

ปัญหาถัดมาของเราคือที่พัก เนื่องจากเราไม่ได้จองมาก่อนหน้า เราเลยต้องเดินหาๆเอา ช็อตนี้บอกเลยว่าขอบคุณเพื่อนทั้งสองมาก คือตอนเช้าตอนนั่งรถเข้ามาเนี่ยเหมือนจะเมารถ แล้วทำให้ทั้งวันอาการไม่ค่อยดี พอบวกกับอากาศเบาบางเพราะอยู่ที่สูง เลยสภาพแย่มาก ได้เพื่อนสองคนเดินไปหาที่พักให้เรานั่งรอเฝ้ากระเป๋า บอกเลยว่าซึ้งมาก แล้วที่พักก็มีน้อยมาก สุดท้ายเราได้ห้องนอนแบบมีห้องน้ำในตัวกับเตียงใหญ่เตียงเดียว นอนกันอบอุ่นเลยทีเดียว แถมห้องนี้เราก็ได้คืนเดียวด้วยนะ อีกคืนมีคนจองแล้ว

หลังจากได้ที่พัก เราก็งีบๆกันหน่อยนึง ก่อนลงมาหาอะไรกิน ความยากเพิ่มขึ้นอีกเพราะไม่ค่อยมีแรง แถมร้านอาหารก็ไม่ค่อยมี ภาษาจีนก็พูดไม่ได้ สุดท้ายเลยกินอะไรที่มองเห็นเป็นไม้ๆปิ้งกับหมาล่า หยิบๆมาสี่ห้าไม้กินประทังชีวิตก่อนกลับขึ้นไปนอนต่อ เราตกลงกันว่า พรุ่งนี้เย็นเรากลับไปนอนที่เมือง RIWA กันดีกว่า น่าจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้

ย่าติงวันที่สอง

เราเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมแต่เช้า เพื่อเข้าไปอุทยาน วันนี้ออกเร็วเพราะต้องเดินรอบใหญ่ของอุทยานที่ค่อนข้างโหดกว่าเมื่อวาน … แต่เราก็ต้องพบกับอุปสรรคเล็กน้อย เพราะที่รับฝากกระเป๋ายังไม่เปิด ต้องยืนรออยู่ประมาณชม.กว่าๆ ถึงจะฝากกระเป๋าได้ ครั้นจะเอากระเป๋าไปด้วยก็ไม่น่ารอดเพราะทางเดินรอบใหญ่โหดมาก

หลังจากฝากกระเป๋าเราก็นั่งรถเข้าไปอีก เพื่อถึงจุดที่เริ่มเดินรอบใหญ่ วันนี้เราตั้งใจจะไปทะเลสอบสองอันคือทะเลสาบไข่มุก (Pearl lake) กับทะเลสาบห้าสี เราเตรียมพร้อมตั้งแต่เมื่อคืนโดยการซื้อออกซิเจนกระป๋อง กับอาหารกลางวันไว้ อาหารกลางวันก็เป็นแบบไฮเทคด้วยนะ คือมีน้ำกับซองสารเคมีให้ พอฉีกผสมกันน้ำก็จะเดือดอุ่นอาหารให้ร้อนพร้อมทาน เจ๋งดี

วันนี้เราเดินกันโหดมาก จริงๆความชันคล้ายๆภูกระดึง เผลอๆอาจจะไม่ชันเท่า แต่ด้วยความที่อากาศเบาบางมาก หนาวมาก แล้วก็ลมแรงมาก เลยทำให้มันยาก เดินๆไปต้องพักเรื่อยๆเลย บางช่วงนี่เดินได้ 3-40 เมตรก็ต้องพักแล้ว (หรืออาจจะแก่ด้วยนะ) … ถึงจุดๆนึงเราก็เกิดคำถามในใจนะ (จริงๆพูดออกมาด้วยซ้ำ) ว่า เรามาทำอะไรที่นี่วะ .. คือมันก็สวย แต่มันก็เหนื่อย แล้วเมื่อเทียบกับเมื่อวาน ที่เดินรอบเล็ก เมื่อวานเหมือนจะสวยกว่ายังไงชอบกล ..

เราใช้เวลาเกือบทั้งวันในการเดินรอบใหญ่ เนื่องจากที่พักในหมู่บ้านกับร้านอาหารไม่ค่อยประทับใจนัก เราเลยตกลงกันว่าจะออกจากย่าติงกันเลย … พอนั่งรถบัสออกมาถึงปากทางอุทยาน ก็มีคนมีถามๆเราว่าไปไหนมั๊ย สรุปก็ได้แท็กซี่แชร์เข้าเมือง Daocheng เลย คนละ 50 หยวนได้มั้ง ใช้เวลาประมาณ สองชม. เราก็ถึงค่ำๆ เดิน Walk-in หารร.เสร็จกินมาม่าก็พร้อมนอน

ก่อนนอนเราก็ต้องเริ่มวางแผนกลับกันนิดนึง เพราะเราต้องไปขึ้นเครื่องบินกลับคุณหมิงจากแชงกรีลา แล้วรถบัสจาก Daocheng ไปแชงกรีลาก็เหมือนเดิมคือมีวันละเที่ยวเท่านั้น แถมถ้าเราจะไปวันพรุ่งนี้เราต้องไปลุ้นตั๋วเอาตอนเช้าด้วย รถออกประมาณหกโมงเช้า ถ้าเราจะไปคือเราต้องดื่นเช้ามาก สุดท้ายเราตกลงกันว่าเวลายังพอมี เราจะนอนพักร่างกันที่ Daocheng สองคืน ค่อยกลับอีกวันนึง

Daocheng

เมื่อเราตัดสินใจว่านอนเล่นเมือง daocheng กัน (จำไม่ได้ละอ่าอันออกเสียงว่าไง เราอ่านว่าเต้าเฉิงมั้ง) .. เราก็มีหนึ่งวันเต็มๆเพื่อจะเดินเล่นในเมืองนี้ เมืองนี้คือเล็กมากกกกกก ส่วนใหญ่เป็นแค่ทางผ่านสำหรับคนที่จะไปย่าติงแค่นั้น เนื่องจากเป็นการพักร่าง เราจึงทำอะไรชิลๆกัน

เริ่มจากตื่นสายๆ ออกมาหาอะไรกินกัน ตอนนั้นมีร้านอาหารให้เลือกสองร้าน ร้านอาหารโลคอลกับร้านออกแนว junk food .. แน่นอนว่ามาถึงวันนี้ เราก็ต้องเลือก junk food สิคับ เบอร์เกอร์ไก่กรอบมั้งถ้าจำไม่ผิด … หลังจากเสร็จมื้อเช้า เราก็ไปต่อกันที่ร้านกาแฟ ซึ่งค่ากาแฟนี่แพงกว่าค่าข้าวสองเท่าได้ คือส่วนใหญ่นี่นักท่องเที่ยวทั้งนั้น คนแถวนี้เค้าไม่ค่อยกินกาแฟกันมั้ง … นั่งชิลที่ร้านกาแซักพัก เพื่อนก็มีคุยกับเจ้าของร้านบ้างว่าไปเที่ยวไหนดี กับลอง search Google บ้างว่าเค้าไปเที่ยวไหนกัน … เราก็ได้จุดชมวิว Landscape มาอันนึง เห็นรูปตัวอย่างจาก Google สวยมาก ถ้าได้ไปบินโดรนคงเจ๋ง แถมไม่ไกลเกินไปด้วย

คิดได้ดังนั้นเราก็เช่าจักรยานกันครึ่งวัน แวะไปซื้อตั๋วรถบัสขากลับสำหรับวันรุ่งขึ้น แล้วขี่จักยานไปเที่ยวจุดที่ว่า ใช้เวลา 30 นาทีก็ถึง (จริงๆคือขี่ลงเนินด้วย ขากลับนี่แทบลากเลือด) … แต่คือกลายเป็นดินแดงล้วนๆ แทนที่จะเป็นแนวไม้เขียวขจีริมแม่น้า … เป็นการยืนยันว่า Google Maps ในจีนนี่ไม่เวิร์คจริงๆ หลังจากขี่กลับมา เราก็ชิลๆอยู่ที่พัก ซื้อของฝากจำพวกพุทราแห้ง กินมื้อเย็น แล้วก็เข้านอน ช่างเป็นวันพักผ่อนจริงๆ (นี่ภาพที่ควาดหวัง … ส่วนความจริงดูด้านล่างเลย)

เช้าวันถัดมาเราก็เช็คเอาท์ออกจากรร.ตั้งแต่ราวๆตีห้า เดินเท้าประมาณกิโลกว่าๆจะถึงสถานีรถบัส … แต่ก็มีเรื่องให้ประหลาดใจเมื่อเดินๆอยู่ก็มีคุณลุงขับรถกระบะมาแวะรับกลางทาง ก็คุยกันไม่รู้เรื่องนะ แต่จังหวะนั้นคือลุงคนเดียว เราสามคน ยังไงก็สู้วะ … สรุปคือลุงขับไปส่งหน้าประตูสถานีขนส่งอย่างงาม … ถือเป็นอีกเรื่องดีๆที่น่าประทับใจ

ขากลับ !!!

เนื่องจากขาไปนี่เราแวะเที่ยวไปเรื่อยๆ เมืองละคืนสองคืน … พอขากลับนี่เลยเดินทางกันยาวๆเลย

เริ่มจากรถบัส 6-7 ชั่วโมง จากเมือง Daocheng กลับมายังเมืองแชงกรีลา แวะกินอาหารบ่ายๆ นั่งชิลร้านกาแฟ แล้วไปต่อเครื่องบินในประเทศจากสนามบิน Shangri-la ไปเมืองคุณหมิง ตอนแรกที่ไทย เราก็กลัว่าจะพลาดไฟลท์ เพราะเกิดไม่ได้ตั๋วรถบัส เราอาจจะต้องต่อรถหลายต่ออาจจะมาไม่ทันได้ เลยจองตัวไฟลท์ดึกไว้ … แต่ว่าเรามาถึงเร็ว ไปสนามบินตั้งแต่ห้าหกโมงเย็น .. เพื่อจะพบว่า แม่งไม่มีอะไรเลย !!!! ทั้งสนามบินมีร้านอาหารอยู่ร้านเดียว Heater ก็แทบไม่มี หนาวมากมาย สุดท้ายก็ต้องเข้าไปนั่งจิบชา หาอะไรกินฆ่าเวลา …

หลังจากขึ้นเครืองมาถึงคุณหมิง เราก็เข้ารร.ในคุณหมิงที่จองไว้วันก่อน ถึงรร.ราวๆตีสองได้

คุณหมิงวันสุดท้าย เราใช้เวลาทั้งวันขึ้นรถไฟใต้ดินไปเที่ยวเขาซีซาน … ก่อนจะขึ้นเครื่องกลับไทยไฟลท์ดึกอีกเช่นกัน

ตอนขึ้นเครื่องกลับไทยนี่ก็ยังไม่วาย มีเรื่องให้ตื่นเต้นอีกแล้ว …. ตอนผ่าน security check ขาออกของสนามบินคุณหมิง โดนจนท.ยึด Powerbank … ด้วยเหตุผลที่ว่า ตัวเลขมันเลือน บอกไม่ได้ว่ามีขนาดน้อยกว่า 20000 mAh !!! บอกเลยว่าโกรธมากกก … คือบินมาถึง บินในประเทศก็แล้ว แล้วนี่กำลังจะกลับแล้วแท้ๆ ยังจะมายึดของเราอีก ฮือออออ Powerbank อันนั้นรักมากด้วย ฮึ่ยยยย

สรุป

ทริปนี้เหมือนจะเป็นทริปลำบากที่ต่างประเทศทริปแรก ทริปที่ภาษาอังกฤษไม่ได้เป็นภาษาหลัก ทริปที่ Google ช่วยอะไรได้น้อยมาก .. ทริปที่มีอารมณ์ท้อถอยแต่ก็ผ่านมาได้ ทริปที่เห็นอีกด้านของเมืองจีน

มีความทรงจำมากมายเหลือเกินในทริปนี้ ขอบคุณเพื่อนทั้งสองคนที่ช่วยให้ผ่านมาได้ทั้งในทริปและหลังจากทริป ไว้ไปเจอกันทริปหน้านะ

ย่าติง – จีน 2018 – ตอนที่ 1

ได้มีเวลาเขียนซักที หลังจากวุ่นๆอยู่หลายวัน ยิ่งทิ้งไว้ยิ่งไม่มีแววว่าจะเขียนเสร็จ 

ทริปนี้ถือว่าเป็นทริปโหดที่สุดทริปนึงก็ว่าได้ … ไปจีนแบบไม่มีใครพูดภาษาจีนได้ แถมคนที่นู่นก็ไม่ค่อยจะพูดอังกฤษกัน โรงแรมหลายๆที่ก็ไม่ได้จองไว้ รถบัสบางเที่ยวก็จองตั๋วล่วงหน้าไม่ได้

ก่อนเดินทาง

เราวางแผนกันคร่าวๆว่าจะไปให้ถึงอุทยานแห่งชาติย่าติง (Yading National Reserve) ในประเทศจีน ที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลเฉลี่ย 4,000 เมตร โดยค่อยๆเดินทางไปทีละเมืองๆ เริ่มจากเมืองคุณหมิง (Khunming) ต่อที่ลี่เจียง (Lijiang) แวะแชงกรีล่า (Shangri-la) ก่อนจะไปจบที่ย่าติง (Yading) ก่อนเดินทาง เรามีของในมือดังนี้

  • ตั๋วเครื่องบินไปกลับ กรุงเทพ-คุณหมิง
  • ตัวรถไฟแบบนอน (Soft Sleep) จากคุณหมิงไปเมืองลี่เจียง
  • จองที่พักในเมืองที่จองได้ และคาดว่าจะไปถึงทันเวลา เช่น ลี่เจียง แชงกรีล่า และริว่า (Riwa) 
  • ตั๋วเครื่องบินในประเทศจีน จากเมืองแชงกรีล่ากลับมาคุณหมิง 

ว่าด้วยความซับซ้อนของโปรโมชันโทรศัพท์มือถือ

มีเรื่องมาเล่า

เริ่มต้นจากว่าเมื่อก่อน ใช้โปรโมชันโทรศัพท์มือถือ (ยังงงว่าทำไมต้องเรียกโปรโมชัน มันเคยมีใครใช้งานราคาเต็มมั้ยนะ) ด้านล่างนี้

 

 

Serenade Pack 899บ./เดือน, Net 24GB, ส่วนเกิน Net 99 บ./GB

แถมมี Muti-sim เอาไว้ใส่ Pocket WiFi ใช้งานกับโนตบุคอีก

 

สิ่งที่เจอคือ แต่ละเดือน 6 เดือนย้อนหลังเนี่ย พบว่าใช้เน็ตไม่ถึง 10 GB เลย เลยเปลี่ยนโปรมาเป็น

แพ็กเกจ 4G Max Speed Non-Stop 599 บาท เน็ตความเร็วสูงสุดรวม 10GB(4G/3Gจำนวน6GB และ4Gจำนวน4GB) จากนั้นใช้ได้ไม่จำกัดที่ความเร็ว 128Kbps

และ Multi-sim ของเราก็ยังอยู่

 

และแล้วเมื่อเราใช้เน็ตครบตามกำหนด (เปลี่ยนโปรปุ๊บใช้เกินเลย แย่จัง) .. ก็พบว่า ไม่สามารถสมัครแพคเกจเพื่อเพิ่ม Net มาใช้ชั่วคราวได้เลย หลังจากลองทำรายการด้วยตัวเองไปจำนวนหนึ่ง ! พบว่าไม่มีท่าทางว่าจะสำเร็จ เลยโทรเข้า Call center (cc) เพื่อจะพบว่า cc เองก็เปลี่ยนให้ไม่ได้ !!!  Error ในระบบ

ผลจากการพยายามสมัครแพคเกจเสริมด้วยตัวเอง

หลังจากทาง cc ไปประสานงานมา ก็พบข้อมูลว่า

“ถ้า package หลักที่ใช้งานอยู่ เป็นแบบ Unlimited data คือ ใช้ครบแล้วจะลด Speed ลงมาเป็น 128 kbps หรือ 64 kbps นั้น ถ้าจะใช้ Multi-Sim จะต้องมีโปรของ Multi-sim (99 บาทต่อเดือน ได้ Net เพิ่ม 2GB) ด้วย”

แต่ของเรานั้น มี Multi-sim มาอยู่ก่อนแล้ว โดนไม่มีแพค 99 บาทที่ว่า พอจะเพิ่มแพคเกจใดๆก็ตาม ระบบเลย error ไม่ให้ทำอะไรทั้งสิ้น .. !!

อันนี้น่าจะเป็นช่องโหว่ด้วย ที่ AIS น่าจะรู้อยู่แล้วว่ามี Multi-sim แล้วยอมให้เปลี่ยนมาเป็น Package Unlimited data ได้ด้วย

 

ความซับซ้อนเลยจบลงที่ งั้นเปลี่ยนโปรใหม่เป็นอันที่ใช้เต็ม Speed ครบปุ๊บตัดเลย ไม่ลด Speed จะได้ใช้ Multi-sim ได้โดยไม่ต้องมีโปรแยกต่างหาก

จบลงที่เปลี่ยนมาเป็นโปรนี้

4G Max Speed 588บาท, โทร 250นาที, 4G/3G 12GB, 4G 3GB เน็ตรวม15GB (เมื่อใช้ครบเน็ตหยุดทันที), AIS SUPER WiFi,AIS Cloud+ 100GB ส่วนเกิน: โทร/VDO Call นาทีละ 1.50บ.,SMS 3บ.,MMS 4บ.,4G/3G 99บ./GB, 12 รอบบิล เริ่ม 07/09/2018 10:45ถึง19/09/2019 23:59

 

เพิ่มเติมคือ Package ที่เป็น Unlimited data (แบบใช้ครบ แล้วลด speed นั่นแหล่ะ) ถ้าเปลี่ยนโปรกลางเดือน … จะโดนคิดเงินเต็มนะ ไม่ Pro-rate

 

สรุปว่าเน็ต AIS ตอนนี้มีหลักๆสามแบบ

  1. ความเร็วสูงสุด จำกัด Data ใช้ครบหยุดเลย
  2. ความเร็วสูงสุด จำกัด Data ใช้ครบ ลดความเร็ว ใช้ได้แบบไม่จำกัด Data (บางทีชอบเรียก Unlimited data หรือ Nonstop)
  3. ความเร็วคงที่ ไม่จำกัด Data

=====

ส่วนการวิเคราะห์

 

จริงๆช่วงนี้ก็ดูระบบเกี่ยวกับพวก Subscription / Package การใช้งานอยู่บ้าง ก็พบว่าเรื่องนี้พอเข้าใจได้

คือ การที่มีการลดความเร็วลงเหลือต่ำๆหลังจากใช้งานครบแพคเกจแล้วนั้น ถ้าเรามีหลายซิม เดาว่าทุกซิมจะทำแบบนั้นได้หมดเลย ซึ่งทำให้ AIS ต้องบังคับโปร 99 บาทให้ multi-sim เพื่อจะได้ไม่ขาดทุนจากการใช้งาน speed ต่ำหลายๆอันพร้อมๆกัน ไม่งั้นคนจะสมัครโปรราคาต่ำๆแล้วใช้ speed ต่ำเยอะๆเอา

 

แต่ความผิดพลาดของ AIS คือ การที่บอกลูกค้าว่า ทำรายการไม่ได้ โดยไม่สามารถบอกปัญหาทีแท้จริงได้ แม้กระทั่งระบบของ call center เองก็บอกไม่ได้ว่าเป็นเพราะอะไร อันนี้ควรปรับปรุง

อีกเรื่องคือการสมัคร package เสริมต่างๆ ควรขึ้นมาเฉพาะอันที่เราสมัครได้

เช่น การมี multi-sim จะไม่สามารถสมัครแพคเกจแบบความเร็วคงที่ ไม่จำกัด Dataได้ เดาว่าเพราะทุกซิมทำงานพร้อมกันได้ AIS ไม่สามารถจำกัดความเร็วแบบหลายๆซิมได้ แต่ใน หน้าเลือกโปรนี่ก็ยังมีให้เห็น เท่านั้นไม่พอยังส่ง SMS มาชวนสมัครอีกตังหาก … ไม่ดีเลย

 

ปล. ชื่อโปรมีคำซ้ำๆกันมาก แยกแทบไม่ออก

ปล2. cc ใช้คำว่า Unlimited สิ้นเปลืองมาก จนงงว่าอันไหนอันลิมิตจริงอันไหนปลอม

ปล3. multi-sim เดือนละ 20 บาทเอง คุ้มอยู่นะ

ปล4. แต่ก็ชื่นชม Serenade call center นะ พูดจารู้เรื่อง สามารถลงรายละเอียดได้ในระดับที่เราพอใจ และยอมรับว่าเป็นปัญหาภายในของตัวเองได้

 

จบ … เหนื่อยมาก

Review: NAPLAB

วันนี้มีธุระแถวๆสามย่าน ไปไหนไกลไม่ได้ เลยได้มาลอง Co working space เจ้านึงแถวนี้ .. ชื่อว่า NAPLAB อยู่ที่จุฬาฯ ซอย 6

รีวิวทั่วๆไปสามารถหาได้เยอะมาก มีทั้งคนทั่วไปรีวิวรวมถึงโฆษณา

อันนี้คือความเห็นของผมหลังจากใช้บริการ

ราคา 

คนทั่วไป (ที่ไม่ใช่นักเรียน นักศึกษา) เริ่มที่ 150 บาท ต่อ 4 ชั่วโมง .. ในค่าบริการนี้รวม WiFi และปลั๊กไฟเรียบร้อยแล้ว ก็ถือว่าแพงเลยทีเดียว สำหรับค่าใช้สถานที่อย่างเดียว นักศึกษาจะเหลือ 100 บาทสำหรับ 4 ชั่วโมง ก็ดีขึ้นมานิดนึง

ที่นี่เข้าออกกี่ครั้งก็ได้ จะได้กระดาษพร้อม QR code สำหรับเข้าออก มีเวลาหมดอายุบอกพร้อมรหัสไวไฟ

ชาเย็นแก้วละ 50 บาท เครื่องดื่มส่วนใหญ่ก็ราคาไม่ได้แรง รสชาติดีกว่า too fast too sleep เยอะ มีพวกมาม่าขายด้วย

นอกจากค่าเข้าแล้ว อันนึงที่ดูเหมือนจะเป็นปัญหาคือ ค่าจอดรถ ถ้าจอดของโครงการเอง เริ่มที่ ชม.ละ 20 บาท เกิน 4 ชม. ขึ้นเป็นชม.ละ 50 นี่มันขัดกับการเป็น co working space มากๆ เค้าก็แนะนำให้ไปจอดที่ซอยจุฬาฯ 8 เห็นว่าเหมาจ่ายวันละ 15 บาท แต่ไม่รู้ว่าที่จอดหน้าตาเป็นแบบไหนนะ

 

สถานที่ 

ถือว่าโอเคนะ สะอาดระดับนึง (ไม่นับว่าเจอทิชชูใช้แล้ววางอยู่) …  มีที่โต๊ะทำงานให้เลือกได้หลายระดับ ตั้งแต่นอนเอกเขนก โต๊ะเตี้ยเหมือนโต๊ะญี่ปุ่น ไปจนถึงโต๊ะนั่งทำงานระดับปกติ มีหมอนวางอยู่ทั่วไป แต่ดูแล้วไม่ค่อยกล้าใช้

มีร้านขายขนมเครื่องดื่มข้างใน แต่สามารถเอาอาหาร(น่าจะหมายถึงขนม)มาทานจากข้างนอกได้

ที่ชอบคือที่เอกเขนกเอนนอนได้นี่แหล่ะ เพราะปกตินั่งทำงานข้างนอกนนานๆจะเจอปัญหาว่าโต๊ะไม่ได้ระดับ ปวดหลัง อยากเอนพักซักห้านาทีสิบนาทีไรงี้

พื้นที่ส่วนใหญ่ให้ถอดรองเท้า  แต่ก็งงๆว่าเห็นบางคนก็ใส่แตะมา เลยไม่รู้ว่าอะไรคือข้อควรปฎิบัติ (หรือจริงๆไม่ต้องถอดฟะ)

บรรยากาศ

มีการเปิดเพลงบรรเลงคลอเบาๆ คนไม่พลุกพล่านมากนัก

แต่ก็มีสิ่งขัดใจอยู่บ้างคือ

มีผู้ใช้บริการรายเดือน ที่เหมือนจะส่งเสียงโห่ เฮฮาเป็นระยะๆ อาจจะมาจากการประชุม ทำเอาเสียสมาธิเหมือนกัน

มีเสียงเครื่องบดกาแฟเป็นระยะตามที่คนสั่ง

มีเสียงคนตีปิงปอง – -”

มีเสียงคนตื้ดประตูเข้าออกดังเรื่อยๆ

ทั้งหมดนี้แก้ปัญหาได้โดยย้ายไปขึ้นชั้นบน ก็จะสงบสุขกว่าหน่อย

เมื่อมองออกมาจากช่องบนซ้ายในรูปแรกสุด

อันนี้คือชั้นบน หลังจากหนีความวุ่นวายมา

อีกอันที่ขัดใจคือ วันที่มาใช้มีการถ่ายทำรายการไรซักอย่างด้วย แต่คือไม่มีการบอกผู้ใช้อย่างเราเลย อยู่ๆก็เอากล้องมาถ่ายๆ ไม่โอเคมากๆ จนต้องออกปากถาม แล้วย้ายที่นั่ง แต่โดยรวมก็ไม่ได้แย่มาก เจ้าของ(หรือผู้ดูแล) ก็เข้าใจประเด็นแล้วก็ขอโทษเรื่องการถ่ายทำโดยไม่บอกรวมถึงช่วยหาที่นั่งใหม่ให้

 

สรุปก็คือ พอใช้บริการได้ คนไม่เยอะจนเกินไป นั่งชั้นบนน่าจะดีกว่า ปลั๊กไฟเยอะ ไวไฟโอเค ที่จอดรถแพงมาก เอาหมอนมาเองดีกว่า

Summary Life in 2017

ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เขียนบล็อกบ่อยๆเหมือนเมื่อก่อน (มันมีจังหวะที่เคยเขียนบ่อยด้วยหรอวะ … // ข้ามๆไป) แต่เราก็ยังคงพยายามจะเขียนโพสต์สรุปรายปีให้ได้ทุกๆปีเหมือนเดิม .. (อ่านของปีที่แล้วได้ที่นี่)

ปีนี้ลองเปลี่ยนนิดหน่อยว่าจะไม่เขียนเป็นไทม์ไลน์เป็นเดือนๆล่ะ

เริ่มต้นด้วยเรื่องของการกิน .. ปีนี้ก็ยังนัดกินข้าวกับเพื่อนแก๊งเดิมๆอยู่เรื่อยๆ สองสามอาทิตย์ครั้งเวียนๆกันไป ค่อนปีแรกยังมีความสุขกับผลไม้ตอนบ่ายสองกับ Happy Friday ทุกสองอาทิตย์อยู่ มีได้นัดกินข้าวกับเพื่อนภาคคอมข้างรหัส ที่ไม่ค่อยได้เจอกันบ่อยนัก ปีนี้รู้สึกได้ว่าตัวเองเมาเร็วขึ้นเยอะ กินไปกินมาสามทุ่มนี่เริ่มเมาล่ะ

เริ่มติดร้านอาหารแถวบ้านมากขึ้น บางร้านเป็นร้านที่เปิดมาเป็นสิบๆปีแล้ว แต่เราเองตังหากที่ไม่เคยแวะไปกิน เดี๋ยวจะลองรีวิวให้ดูวันหลังนะ

ตั้งใจว่าถ้าดื่มไม่ขับ คิดว่าปีนี้ทำได้ตามที่ตั้งใจไว้นะ

ที่ตึกมีสตาร์บัคส์มาเปิดใต้ตึกเลย มีแววเสียตังมากกว่าเดิม

 

ครอบครัว … ต้นปีคุณยายหกล้มเข้ารพ. โชคดีว่าที่ทำงานให้ Work from home ได้ เลยค่อยยังชั่วว่าได้อยู่ดูยายหลายวันหน่อย ตอนนี้ก็ดึขึ้นเยอะแล้ว หายเกือบสนิท แทบไม่ต้องใช้ตัวช่วยเดินแล้ว คุณตาก็หมอนัดเรื่อยๆ สลับกันไปรพ. ดีนะว่าไม่ไกลบ้าน

ปีนี้พี่กับหลานย้ายไปอยู่เมกาตั้งแต่เดือนกรกฎาฯ อะไรๆเปลี่ยนไปเยอะเหมือนกัน จากเดิมเสาร์อาทิตย์ไปขลุกเล่นกับหลานก็เปลี่ยนไป แต่ละคนก็มีทางของตัวเอง เราก็ต้องเคารพการตัดสินใจของกันและกัน

 

เรื่องงาน… ปีนี้เปลี่ยนงานอีกแล้ว แต่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา คือกลับมาอยู่ที่เดิม Draycir นั่นเอง … จริงๆตอนอยู่ Orion Health ก็ดีนะ แต่ด้วยข้อเสนอการกลับมาทำที่เนื้องานเปลี่ยนไป มาดูทางด้าน Design เต็มตัว ลดงาน Operation ลง แถมทำงานสี่วันต่อสัปดาห์ เลยยากที่จะปฏิเสธจริงๆ ลองดูกันว่าจะเป็นอย่างที่คิดไว้หรือไม่ แล้วมาดูกันว่าจะได้สร้างอะไรของตัวเองตามที่ตั้งใจไว้แบบไหน

ตั้งใจว่าจะไป Meetup ให้ได้ซักสองครั้ง เหมือนจะทำไม่สำเร็จ ดันมาตรงกับไปเที่ยว เราก็ต้องเลือกเที่ยวเป็นธรรมดา ตอนว่างก็หัวข้อยังไม่น่าสนใจ

ปีนี้ได้ Contribute code เข้า opensource บน GitHub ด้วย ถึงแม้จะเป็นโปรเจคเล็กๆแต่ทำครั้งเดียวผ่าน ก็โอเคละ ภูมิใจในตัวเองหน่อยนึง 555+

 

มาที่เรื่องเที่ยว ปีนี้เหมือนจะเที่ยวเยอะหน่อย ปีใหม่ไม่ได้อยู่เชียงใหม่เหมือนปีก่อนๆแล้ว …

กุมภาฯเราก็ยังมีทริปกาญจนบุรีกับแก๊งเดิม ที่ไปจังหวัดเดิม เวลาเดิมติดกันมาสามสี่ปีละ ปีนี้ไปถึงเหมืองปิล็อก สนุกดี ถึงแม้ว่าทางจะคดเคี้ยวไปนิด กินไวน์ไปคนละขวด หลับสบาย …

ตอนเมษามีทริปไปญี่ปุ่น เป็นการไปญี่ปุ่นครั้งแรกด้วย เลยเก็บพวกแลนมาร์คไปก่อน ไว้ค่อยไปตามใจตัวเองอีกที

ถัดมาอีกนิดมีทริปไปอินโด โบรโม่ อิเจี้่ยน ต่อด้วยบาหลี ได้เล่น Surf ครั้งแรก สนุก อยากไปเล่นอีก อ่านต่อได้ที่นี่

ถัดมาปลายปีมีไปหาพี่กับหลานที่เมกาฯ ไปฮูสตัน ต่อด้วยทริปเนิร์ดๆไป Silicon valley กับซานฟรานฯ โชคดีได้เพื่อนพาเข้าชมออฟฟิศ Facebook กับ Google แค่นี้ก็คุ้มค่าเครื่องบินละ แต่ไปตรงกับช่วง Black Friday พอดี เจ็บตัวหนักมากกกก ไว้ถ้าไม่อีดซะก่อน อาจจะเขียยบล็อกเรื่องนี้อีกที

นี่ยังไม่นับ ทริปสุรินทร์ ภูเก็ต เชียงใหม่ บางแสน สั้นๆคั่นกลางระหว่างปี 🙂

อ้อ ไปเชียงใหม่ได้เล่น Zipline ด้วยระยะ 800 เมตร … เสียวนะ แต่ชอบ คาดว่าน่าจะเล่นอีกเร็วๆนี้ แต่ต้องหาที่ที่วิวสวยๆด้วย

Golden gate

 

ช้อปปิ้ง … ต่อเนื่องจากทริปเมกา ที่ไปตรงกับช่วง Black Friday ปีนี้ได้เริ่มโครงการ Home automation เริ่มจากสอย Google Home Mini มา (ถูกมาก) แล้วเพื่อนให้มาอีกอันนึง เดี๋ยวปีหน้าจะลองเริ่มต่อเข้ากับอุปกรณ์ต่างๆแล้วจะโม้ให้ฟังอีกทีนึง ปีนี้ได้โดรนแล้ว หลังจากอยากได้มาหลายปี

มือถือเครื่องเดิม Huawei P9+ จอแตก ตอนนี้สอย Pixel 2 มาล่ะใช้ไปปีเดียวเอง รู้สึกแพงชะมัด

Surface Pro ที่ใช้ยังดีอยู่ แต่ก็อยากได้เครื่องไว้เล่นเกมส์อีกอันเหมือนกันนะ 😛

ปีนี้เปลี่ยนเน็ตเป็น AIS Fibre ยกเลิก อินเตอร์เน็ตทรู ทรูวิชัน แล้วสมัครสมาชิก Netflix กับ Spotify สองอย่างหลังนี่ใช้งานกับ Google home ได้เนียนมาก

ปีนี้ซื้อเตียงใหม่ หลังจากใช้เตียงสามฟุตครึ่งมาเป็นสิบปี ซื้อเตียงใหญ่นอนสบายขึ้นเยอะเลย

 

ปีนี้เล่น Social น้อยลง คิดมากขึ้น (อีกหรอวะ) … ทวิตเตอร์เล่นน้อยลงไปเยอะเลย เกรียนน้อยลงเยอะเช่นกัน แต่คนอื่นๆก็ยังดูเกรียนเหมือนเดิม … ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี

สุขภาพ … ออกกำลังกาย …. ปีนี้ตั้งเป้าไว้ว่าจะวิ่งทั้งปีให้ได้ 300 km. วิ่งได้มาเรื่อยๆอาทิตย์ละสองครั้งมาตลอด จนมาเปลี่ยนงานนี่แหล่ะ แทบจะไม่ได้วิ่งต่อเลย จบปีอยู่ที่ 239.7 km ปีหน้าต้องวางแผนกันใหม่ว่าจะทำไงให้ได้

ตรวจสุขภาพ ยูริคก็ยังสูงเกินเกณฑ์นิดหน่อยอยู่ ตอนกลางปีนี่ควบคุมปริมาณไก่ทอดด้วย สุดท้ายก็ไม่ได้ผล เลิกคุมแม่งเลย 555+

ยังบริจาคเลือดอยู่เรื่อยๆตามที่โอกาสจะเอื้ออำนวย

 

ก่อนสิ้นปีรถเสีย … ได้ความว่าคอล์ยจุดระเบิดไม่ทำงานหนึ่งตัว อาการคือ เครื่องสั่นมาก รอบเบานี่ดับได้ แล้วเวลาเร่งเครื่องเหมือนเกียร์สูงตลอดเวลา รถวิ่งไม่ค่อยไป เข้าศูนย์หมดไปสี่พันกว่าบาท สบายไป

 

ตัวบล็อกเอง ต้นปีได้ย้ายออกมาจากโฮสต์ของพูมแล้ว หลังจากเกาะอยู่นานหลายปี ย้ายมาลองสร้างเครื่องอยู่บน Digital Ocean ของตัวเอง ลองผิดลองถูกหลายอย่างเลย มีครั้งนึงเขียนเรื่อง Starbucks login ไม่มี SSL โดนแชร์ไปจนบล็อกล่มไปเลย ได้สมบอยมาช่วยจูนค่อยดีขึ้นหน่อย ก่อนสิ้นปีนี่ก็ได้เปิด SSL เว็บตัวเองเป็น default แล้ว ได้ลองเล่น Let’s encrypt หลังจากที่อยากลองมานาน ตอนนี้ลองทำ crosspost ไปที่ medium ด้วยเผื่อว่าวันนึงบล็อกตาย หรือจะย้ายไป

หลังๆมานี้เหมือนจะชอบเขียนเรื่อง Security รู้สึกดีที่ให้คนทั่วๆไปได้ระวังตัวมากขึ้นจากการที่คนดูแลบริการไม่ค่อยได้ใส่ใจเรื่องนี้เท่าที่ควร

 

– อื่นๆ

Candy crush ถึงด่าน 2969 (+832)

สถิติบล็อกเรื่อยๆ มีพีคอยู่ตอนเขียนเรื่องสตาร์บัคส์

 

สวัสดีปีใหม่

 

รูปนี้แถม …

Pier 39

Scroll to top