วิธีจับภาพหน้าจอเจ้า Galaxy S

อุปสรรคที่ยังไม่ได้เขียน Review ใดๆของเจ้า Galaxy S ออกมาเลย นอกจากความขี้เกียจแล้วก็มีอีกอันคือ



*** ขออัพเดท ***

ถ้าตอนนี้อุปกรณ์ของคุณคือ Android 2.2 บน Galaxy S (ไม่แน่ใจว่ารุ่นอื่นทำได้มั๊ย) คุณสามารถ Capture หน้าจอได้ง่ายๆ โดยกดปุ่ม Back ค้างไว้ แล้วกดปุ่ม Home (ปุ่มตรงกลาง) น้อง Android ก็จะเซฟภาพหน้าจอให้ท่านเรียบร้อย ไปเปิดดูใน Gallery ได้เลยคร่าบ 🙂

ไม่ต้องลง App ไม่ต้อง Root ^^

ส่วนถ้าไม่ได้ ก็ยังคงทำตามวิธีด้านล่างได้เหมือนเดิมคับ ^^



การจับภาพหน้าจอ (Screen Capture) ของเจ้า Galaxy S นั้นยากกว่าที่คิด

ซึ่งจริงๆแล้วใน Android Market นั้นมีโปรแกรมจับภาพหน้าจอตั้งมากมาย แต่โปรแกรมทั้งหมดนั้นต้องทำการ Root ก่อนใช้งาน …

ซึ่งโดยส่วนตัวตอนนี้ แค่เหตุผลการจับภาพหน้าจอเพียงอย่างเดียว ไม่เพียงพอต่อการ Root น้อง S ของเราเลย

หลังจากหาๆวิธีการ ก็เจอวิธีที่สามารถทำได้ … นั่นก็คือจับภาพผ่าน AndroidSDK


วิธีการก็ไม่ยุ่งยาก แต่การ Capture โดยไม่ต้อง Root นั้น ณ ตอนนี้ต้องทำจากคอมพิวเตอร์เท่านั้น วิธีการก็มาดูกันเลย

  • ขั้นตอนติดตั้งก็ไม่ยุ่งยาก Extract > แล้วก็ รันตัว SDK Setup
  • เมื่อ Setup บนคอมเสร็จแล้ว ก็มาที่ตัวมือถือกันบ้าง
  • ทำการ Enable USB Debugging โดยไปที่ Settings > Applications > Development > ติ๊กถูกหลัง USB Debugging

  • เสียบ USB เข้ากับคอมของเรา (หมายถึงเสียบให้คอมเชื่อมกับมือถืออะนะ)
  • เปิดโปรแกรม  ddms.bat โดยไฟล์โปรแกรมจะอยู่ใน Folder tools ใต้ Folder AndroidSDK ที่เราลงไว้
  • ถ้าการเชื่อมต่อปกติ จะมีลักษณะดังรูป

  • เลือกเมนู Device > Screen Capture
  • เป็นอันเสร็จสิ้น เราจะได้รูปหน้าจอขณะนั้นบนมือถือของเราทันที
  • ตัวอย่าง…  เป็นหน้าจอของโปรแกรม Wifi Analyzer เดี๋ยวคราวหน้าจะมาบอกว่ามันทำอะไรได้บ้าง


DLNA คืออะไร ?

หลังจากที่โม้ไว้หลายครั้งล่ะว่าอุปกรณ์ชิ้นโน้นชิ้นนี้รองรับ เจ้า DLNA ด้วย แต่ก็ไม่เคยเล่าซักทีว่า DLNA ที่ว่ามันคืออะไร ?

คราวนี้เราจะมาดูกันว่ามันคืออะไร ? มีอนาคตยังไง ? ช่วยอะไรเราได้บ้าง ?


DLNA คืออะไร ?

ว่าด้วยเรื่องทฤษฎี DLNA ย่อมาจาก Digital Living Network Alliance  … ถ้าจะให้แปลตามตัวก็คือ เป็นการรวมกลุ่มกันของผู้ผลิตอุกปรณ์ต่างๆเพื่อสร้างห้องนั่งเล่นที่สมบูรณ์แบบ (แปลได้เหียกมากเลยกรู)

หรืออีกนัยยะนึง มันก็คือมาตรฐานอันนึงที่ทำให้เรามั่นใจได้ว่า อุปกรณ์ชิ้นไหนที่รองรับ DLNA นั้น จะเชื่อมต่อกันได้อย่างง่ายดายนั่นเอง ข้างล่างเป็นภาพที่ DLNA อยากให้เป็น

 



แล้วไอกลุ่มที่ว่า(สนับสนุน)มีใครบ้าง ?

เอาเฉพาะที่ผมคัดเลือกมาละกัน … เห็นได้ชัดเป็นเป็น Samsung เพราะพี่แกใส่มาในแทบจะทุก Device ที่เป็นไปได้ คนอื่นๆก็มี Cisco,  LG, Intel, Huaweii,  Sony, Toshiba, Pioneer, Ericsson,  HP, HTC Nokia, Moto .. พอล่ะ


แล้วมันทำอะไรได้บ้าง ?

จากที่ลองเล่นมา อุปกรณ์ที่รองรับ DLNA มีสองโหมด คือ โหมดสำหรับเป็น Server ให้ อุปกรณ์ชิ้นอื่นๆเล่นไฟล์จากตัวเรา กับอีกโหมดคือเอาอุปกรณ์ที่ถืออยู่เล่นไฟล์จากเครืองอื่นๆ  อาจจะดูงงๆ พูดอีกทีก็คือเป็นผู้เล่น หรือเป็นผู้แชร์นั่นเอง แถมอีกอันที่ลึกซึ้งหน่อยคือ สามารถเป็นตัวควบคุมให้อุปกรณ์อีกตัวเล่นไฟล์ที่อยู่บนอุปกรณ์อื่นอีกที .. เป็นไงล่ะ งงกันเลยทีเดียว

ซึ่งที่เท่าที่ลองมา พบว่าอุปกรณ์ส่วนใหญ่จะทำตัวเองเป็นได้ทั้งตัวเล่นไฟล์และตัวแชร์ไฟล์ เช่น TV สามารถเลือกไฟล์หนังจาก Network Storage มาเล่นได้ ในขณะเดียวกัน TV เองก็สามารถแชร์ไฟล์รายการที่อัดไว้(ถ้ามี) ให้กับ Notebook หรือมือถือเอาไปเล่นต่อได้เช่นกัน

ข้างบนเป็นการเล่าแบบบ้านๆ แต่ถ้ามาดูตามทฤษฏีเนี่ย เค้าบอกว่า DLNA สามารถเป็นได้ 4 โหมด คือ

  • Digital media servers (DMS)
  • Digital media players (DMP)
  • Digital media controllers (DMC)
  • Digital media renderers (DMR)


เล่นไฟล์ประเภทได้บ้าง

จากที่เห็นก็จะมีการแบ่งประเภทเป็น ไฟล์เพลง ไฟล์หนัง ไฟล์รูปถ่าย ไฟล์ Video ที่อัดมากจาก TV เป็นต้น


อยากลองใช้ต้องทำไง ?

ตอนนี้ Windows Media Player 11 บน Windows 7 รองรับมาตรฐานนี้เรียบร้อยแล้ว สามารถเล่นเพลงจากอุปกรณ์อื่นๆได้ หรือสามารถ Share เพลงให้อุปกรณ์อื่นๆที่รองรับ DLNA เล่นได้เช่นกัน


Samsung Galaxy S with DLNA


ส่วนใครที่เป็นเจ้าของ Samsung Galaxy S แล้วล่ะก็ มีข่าวดีคือคุณสาสามารถใช้ DLNA ผ่านโปรแกรมที่ติดตั้งมาอยู่แล้ว ชื่อ “All Share” ซึ่งถ้ามีโอกาสจะมาทำให้ดูเป็นตัวอย่างกันครับ

และอีกอุปกรณ์ที่รองรับ DLNA ที่ผมใช้อยู่ก็คือ เจ้า Buffalo LinkStationDuo ซึ่งรองรับ DLNA ผ่าน Service ที่ชื่อ Media Server ซึ่งต้องไป Enable Service ในหน้า Management ก่อน และกำหนด Folder ที่ให้ Media Server เข้าถึงได้ เท่านี้ อุปกรณ์อื่นๆก็เล่นไฟล์จากเจ้า NAS ของเราได้แล้ว


Samsung LCD TV with DLNA


อีกชิ้นนึงที่ผมมองๆอยู่ ก็คือ Samsung LCD/LED TV Series 7 ขึ้นไป ที่รองรับ DLNA ด้วย ทำให้สามารถ Browse ไฟล์หนังจากเจ้า NAS มาเล่นได้เลยโดยไม่ต้อง Write แผ่นให้โลกร้อน และเจ้าตัวนี้ยังสามารถเล่น Web บางอันได้ในตัวเองเลย เช่น Youtube และ Streaming บางเว็บ เจ๋งมั๊ยล่ะ

มาดูโครงสร้างพื้นฐานไอทีบ้านผมกัน

ขณะที่เขียนเอ็นทรี่นี้ มีเหงื่อไหลซิกๆพร้อมกับมีเสียง ติ๊ด ….. ติ๊ด …. ดังอยู่เป็นระยะๆ ถ้าจะให้ทายก็คงทายกันไม่ถูกหรอก ขอเฉลยเลยละกัน ว่ามันคือเสียงของ PUS เอ้ย PSU … เฮ่ย ยางงง UPS ตะหาก .. (ขำไม๊เนี่ย ยิ่งร้อนๆอยู่)

 

ใช่แล้วคับ ขณะนี้ บ้านผมไฟดับ … (จะหาว่าโรคจิตก็ยอมรับล่ะคับ ไฟดับแล้วมานั่งเขียนบล็อกเนี่ย)

 

ที่อยากเขียนเรื่องนี้ก็คงเป็นเพราะว่า เป็นความภูมิใจของความโรคจิตอีกทีนึง ที่ทำให้บ้านตัวเองเล่นเน็ตได้แม้กระทั่งไฟดับ … 😛

 

เลยลองเขียนออกมาดู … ว่าเรามีอุปกรณ์อะไรบ้าง ต่อพ่วงกันอย่างไร เผื่อจะเป็นแนวทางแก่เพื่อนๆพ่อแม่พี่น้องท่านอื่นๆในการวางอุปกรณ์กัน … มาดูรูปกันครับ

 

จะเห็นว่าผมใส่ DLNA เข้าไปด้วย ว่าอุปกรณ์ตัวไหนรองรับเจ้า Protocol ที่ว่านี่บ้าง … เดี๋ยวไว้วันไหนมีโอกาสจะลองรีวิวให้ดูครับ ว่า DLNA มันคืออะไรแล้วมีประโยชน์อย่างไรบ้าง ^^

 

ปล. ถือโอกาสแนะนำ Web 2.0 อันนึงคือ www.gliffy.com ครับ เป็นเว็บสำหรับสร้าง Diagram แบบ Online มีหลายอย่างให้เลือกทั้ง UML , Network, ER Diagram, Flow chart … etc. ลองใช้กันดูได้คร่าบบ

ปล2. ตอน Publish นี่ไฟมาแล้วนะครับ 🙂

QR Code

ช่วงนี้มีกระแส QR Code กำลังแรง อาจจะเพราะ BB ที่มี App สำหรับอ่าน QR Code ซึ่งด้วยความแรงของ BB ตอนนี้ในบ้านเรา จึงไม่แปลกที่ QR Code เลยได้รับความนิยมไปด้วย

เรามาลองดูกันดีกว่าว่ามันคืออะไร ?


QR Code เป็น Barcode ประเภทหนึ่ง แต่ Barcode ปกตินั้นเราจะเป็นเป็นเส้นแนวตั้งเยอะๆ ซึ่งยิ่งข้อมูลยิ่งเยอะ ไอแถบๆที่ว่า ก็จะยิ่งยาว ซึ่ง Barcode แบบนั้นเราจะเรียกว่า Barcode 1 มิติ (Barcode 1D)

แต่ QR Code ต่างจากนั้น ตรงที่มันเป็น Barcode 2 มิติ มีรูปเป็นจตุรัส เราจะใส่ข้อมูลแบบนี้ก็จะได้รูปออกมาเป็นสี่เหลี่ยม ดังที่เห็น

ตัวอย่าง QR Code


แล้วมันฮิตได้ไง ? ความฮิตมันก็เกิดขึ้นเมื่อมีผู้พัฒนา QR Code Decoder หรือก็คือตัวถอดรหัส QR Code เป็นโปรแกรมเล็กๆ แล้วเอาไปใส่ไว้ในมือถือ/อุปกรณ์พกพาต่างๆ คราวนี้แทนที่เราจะต้องถือไอแท่นอ่าน Barcode เราก็เปลี่ยนเป็นเอามือถือถ่ายรูป แล้วเอาโปรแกรมอ่าน QR Code แค่นี้เราก็จะได้ข้อความภายในขึ้นมาซึ่งวิธีการนี้แพร่หลายอย่างที่สุดในญี่ปุ่นมาซักพักแล้ว .. แต่ในบ้านเราอาจจะใช้คำว่า 2D Barcode แทน QR Code เพราะว่าคำว่า QR Code นั้นมีลิขสิทธิ์อยู่นั่นเอง …


คราวนี้ ก็มีคนเอามาประยุกต์เก็บ URL ของเว็บไซต์ … ผลก็คือ แค่ถ่ายรุป มือถือเราก็จะถอด URL แล้วก็เข้าเว็บไซต์นั้นให้เลย .. โอ้วว ดีจริงๆเลย


อีกอันนึงก็คือ เราเริ่มเอามาทำการแจกเบอร์ แจก Email แจก PIN ผ่าน QR Code กัน เพราะทำให้รู้สึกถึงความเป็น Exclusive เพราะว่าประชาชนทั่วไปจะอ่านไม่ออกนะเธอว์ อะไรประมาณนั้น แต่ถ้ามองให้ลึกๆ มันก็ไม่ต่างจากเอา Barcode มาแปะๆ แล้วก็ยิงกันนั่นเอง ..


แต่ๆ เนื่องจาก QR Code มันเป็นสี่เหลี่ยม ซึ่งจะมี บิตบางบิตที่เป็นบิตบางคับ แต่บางบิตก็ไม่มีผลต่อการใช้งาน ดังนั้นที่ญี่ปุ่นจึงเกิดการรังสรรค์ QR Code ให้แตกต่างออกไปอีกระดับบ โดยมีการเพิ่มสีสันและลูกเล่นเข้าไปตามรูปด้านล่าง ทำให้คนอยากจะยื่นมือไปถ่ายมันมากขึ้น ^^

QR Code ของ louis vuitton
Ubit QR Code
Ubit QR Code
Adidas QR Code
Adidas QR Code



แล้วเราจะถอดรหัส QR Code ได้อย่างไร ?

ถ้าพบเห็น QR Code อยู่บน Internet ในที่ใดๆก็ตาม ให้เอา URL ของรูปนั้น ไปถอดรหัสได้ที่นี่ http://zxing.org/w/decode.jspx ซึ่งก็จะสามารถถอดรหัส ได้เนื้อข้อมูลข้างในออกมา

ส่วนอุปกรณ์พกพาตอนนี้ BB นั้นรองรับ QR Code อยู่แล้ว ส่วน iPhone ก็มี App แล้ว และจะมีเพิ่มขึ้น เอาเข้าจริงๆน่าจะมีครบทุก Platform แล้ว ลองดูได้ที่นี่ http://www.mobile-barcodes.com/qr-code-software/

ก่อนจะปิดท้าย เร็วๆนี้ได้มีข่าวของการออก Barcode (2 หรือ 3 มิติไม่แน่ใจ) เรียกว่า Tag จาก Microsoft โดยจะเป็นลักษณะคล้ายๆกัน แต่ว่าเมื่อถ่ายรูป Barcode และถอดรหัสได้แล้ว จะต้องวิ่งไปยัง Server ของ Microsoft เพื่อดูว่าเนื้อหาข้างในเป็นอะไร ซึ่งแน่นอนวิธีนี้ย่อมมีทั้งข้อดีและข้อเสีย … และคิดว่าถายในสองสามปีนี้น่าจะได้เริ่มเห็นกัน ลองดูตัวอย่างกันซักรูปนึง

Microsoft Tag
Microsoft Tag


ท้ายที่สุด บ้านเรา QR Code เริ่มบูม … ที่อื่นเค้าเริ่มอา RFID มาใช้ตามบ้านกันแล้ว o_O

Credit :

http://www.ceptelefoncunuz.net/page/72/?s=Original

http://wirelesswatch.jp/2006/03/01/use-qr-code-to-call-a-taxi/

Review : Buffalo LinkStation Duo

ก่อนจะได้เจ้าตัวนี้มาครอบครอง เรื่องมันมีอยู่ว่า

เคยเจออาการที่เรียกว่า “อารยธรรมล่มสลาย” กันมั๊ยครับ .. อาการที่ว่ามักจะมาพร้อมกับการเปิดเครื่องแล้วเข้าวินโดว์ไม่ได้ ดิสก์พังท้ายที่สุดก็ต้องซื้อฮาร์ดดิสก์ใหม่ .. แต่นั่นก็ยังไม่ช้ำใจเท่ากับ “แล้วข้อมูลเก่าของตูล่ะ ??” ไฟล์ต่างๆ โปรแกรมต่างๆ ที่สั่งสมมายาวนานหายไปไหรพริบตา Bookmark เว็บที่เคยเข้า, ไฟล์ Password, Script ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้ชีวิต .. หายเกลี้ยง หมดกัน Y_Y

แล้วเคยเจออาการที่แบบว่า เฮ่ยๆหนังเรื่องนี้เจ๋งอ่ะ เอามาดูมั่งๆ …  พอมาถึงเครื่อง … ลบอะไรดีหว่า พื้นที่มันไม่พอ !!

ยิ่งช่วงหลังๆถ่ายรูปเยอะจัดๆ พื้นที่ก็หายไปเป็นเงาตามตัว สิ่งที่ช่วยได้ก็คือหาอะไรมาเก็บข้อมูลเพิ่มรวมทั้งไว้แบคอัพไล์จากคอมนั่นเอง

เมื่อเหตุผลเพียงพอก็ถึงเวลาที่จะจัดหา External Storage ซักตัวเพื่อเอาไว้เก็บข้อมูลรูปถ่าย เพลง ไฟล์สำคัญต่างๆ

หลังจากนำเรื่องการซื้อเจ้า External Storage เข้าสู่ที่ประชุม ที่ประชุมก็อนุมัติให้ซื้อได้ (ก็ตูนี่แหละ ประชุมอยู่คนเดียว) เลยได้กำหนด Spec คร่าวๆดังนี้

  • มีทั้งพอร์ท Lan และ USB ซึ่งด้วยเงื่อนไขอันนี้แหล่ะทำให้มันแพง ถ้าธรรมดามีเฉพาะ USB หรือมี Firewire ราคาจะไม่แพงเท่านี้ แต่ข้อเสียมันก็คือ มันจะ Access ได้ทีละเครื่องเท่านั้น จะต่อ PC ก็ต้องมาเสียบที โน๊ตบุคก็ต้องเสียบอีกที สู้ต่อ Lan เข้า Router ไปเลยทีเดียวจบ
  • ขนาดไม่ควรต่ำกว่า 1 TB (อ่านว่า เทราไบต์ และ 1 TB = 1000 GB)
  • รูปร่างหน้าตาควรจะไปวัดไปวาได้บ้าง ขนาดเล็กได้ยิ่งดี (อันนี้วัดความพึงพอใจล้วนๆ)

หลังจากนั้นจึงได้วิเคราะห์ออกมาแล้วว ว่าเป็นเจ้า LINKSTATION PRO 1.5TB ของ Buffalo (หวังว่าใช้แล้วจะไม่ได้รู้สึกตามชื่อมันนะ)

แต่ๆๆๆ พอไปซื้อเดินซื้อที่ IT Square ก็พบว่ารุ่นนี้ไม่มีขายแล้ว แล้วเค้าก็ไม่ได้นำเข้ามาแล้ว Y_Y (ไม่รู้จริงๅหรือว่าหลอกอ่ะเนอะ) สุดท้ายแล้วเลยกัดฟันกัดเหงือกกัดลิ้นกัดคอถอยเจ้า Buffalo LinkStation Duo ขนาด 2 TB มาแทนเสียเงินเยอะกว่าเดิมเยอะเลย Y_Y

Spec ก็ตามนี้เลย (ต้นฉบับ) รุ่น LS-WX2.0TL/R1

มาลองแกะกล่องดูกัน

Scroll to top