น้ำตกเจ็ดคด โป่งก้อนเส้า

นานๆทีจะได้เขียน Blog นอกสถานที่ซักที

ตอนนี้นั่งอยู่ในเต็นท์ที่อ่างเก็บน้ำใกล้ๆน้ำตกเจ็ดคด…อะไรซักอย่างที่สระบุรี (อย่างร้อนเลย) กำลังรอเพื่อนๆน้าที่มาด้วยกันทำกับข้าวอยู่ (คิดจะไปช่วยบ้างมั๊ยเนี่ย) แต่ด้วยความเก็บของเมื่อเช้าอย่างรีบร้อนเลยไม่ได้เอาบลูทูธติดมาด้วย ทำให้ต้องรอกลับไปอัพจริงๆที่บ้าน แต่อารมณ์กำลังได้ เลยขอนั่งเขียนไปพลางๆละกัน

ช่วงประมาณสองสามอาทิตย์ที่ผ่านมานี่ได้ทำตามความตั้งใจอยู่อย่างคือ การวิ่ง  !!  ใช่  วิ่ง  นี่แหล่ะ แบบว่าตั้งหน้าตั้งตาว่าจะวิ่งๆตั้งหลายครั้งแล้ว แต่จนแล้วจนรอดก็วิ่งได้อย่างเก่งไม่เกินสี่ห้าครั้งก็หยุดทุกทีแต่ครั้งนี้ไม่เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ตรงที่มันเกินสี่ครั้งมานั่นแหล่ะ แล้วมีอยู่วันนึงกำลังวิ่งๆอยู่แล้วก็เกิดความรู้สึกที่ว่า จริงๆแล้วการวิ่งรอบหมู่บ้านมันก็ทำให้เราผ่านอะไรหลายๆอย่าง  เหมือนกัน

ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นต้นโมกหน้าบ้านที่หอมแบบเย็นๆ…
กับต้นปีบที่ไม่ค่อยจะเห็นใครปลูกกัน
ได้กลิ่นดินที่ฟุ้งขึ้นมาจากบ้านที่กำลังรดน้ำต้นไม้
ได้กลิ่นกับข้าวจากบ้านที่ใครซักคนคงกำลังตั้งใจทำ
ได้กลิ่นชมพู่ริมรั้วที่หล่นจากต้นไปแตกอยู่บนพื้น
ได้วิ่งผ่านดอกลั่นทมที่หอมจนคนต้องเปลี่ยนชื่อเพื่อจะปลูกไว้ในบ้านอย่างสบายใจ

สุดท้ายเราก็วิ่งผ่านมันไปรอบแล้วรอบเล่า ..

ก็คงคล้ายๆกับชีวิตคนเราที่ต้องผ่านอะไรมากมาย
เศร้าโศก เสียใจ
ดีใจ
รัก
โกรธ เกลียด
สบายใจ
หรือแม้กระทั่ง เฉยๆ

และก็เช่นกัน สุดท้ายเราก็ต้องผ่านมันไปเช่นกัน

และก็เช่นกัน น้าๆเค้ากับข้าวเสร็จแล้ว ไปกินก่อนนะ

 

ก่อนจะไปขอปิดท้ายด้วยรูปอีกซักเล็กน้อย ติชมได้ตามชอบใจน่อ และภาพชุดนี้ขอตั้งให้เป็น ชุดภาพกระต่ายยอดเยี่ยมประจำปีของเราเลยละกัน ^^

ปล. ปีนึงมันจะได้ถ่ายกระต่ายซักกี่ครั้งกันเชียว

ปปช. สังเกตุดูจะเห็นว่าไม่มีรูปน้ำตก เพราะว่าเราไม่ได้เดินไปนั่นเอง ก็มันไม่มีน้ำอ่ะ อิอิ 

บริเวณที่กางเตนท์

img_1892

img_1902

นี่แหล่ะ พระเอกของเรา (หรือนางเอกหว่า – -“) 

img_1922

img_1930

เข้าไปดูรูปต่อข้างในนะ

โคขุนโพนยางคำ

วันเสาร์ที่ผ่านมา (7 ก.พ.) ได้มีมีตติ้งเล็กๆของเด็กห้อง 4 ลาดกระบัง ปรากฏว่าก็เล็กจริงๆ คนนู้นติดนู่นคนนี้ติดนี่ จนเหลือผู้เข้ารอบประมาณ 7 คน แต่ก็โอเคเพราะนัดกันครั้งแรกๆเลยตั้งแต่รับปริญญามา ไว้ครั้งต่อๆไปก็น่าจะมากันเยอะขึ้น รอบนี้มีผู้ร่วมก๊วนคือ ป๋ามี่ เสียติ๊ก เสี่ยปอนด์ ไอ้ฟอร์ด แล้วก็ นัทที กับ เทพต้น เลยกลายเป็นสายเทคโนโลยีไปเลย เพราะมีแต่ภาคคอมกับไอที – -” ไปกินกันที่ร้านโคขุนโพนยางคำ ตรงซอยนวลจันทร์ 21 ที่เสี่ยติ๊กการันตีมาเป็นอย่างดี นัดกันค่ำๆหน่อยประมาณทุ่มนึง ไปถึงนี่เกือบไม่มีที่จอดรถดีนะที่ได้คาถาที่จอดรถภาษาเกาหลีของฝนไว้ใช้ .. เลยมีคนออกให้จอดพอดี (เอิ้กๆ ไม่ค่อยเชื่อแต่ก็ใช้ได้หลายครั้งเลย)

สรุปว่าวันนั้นแปลงร่างเป็นสัตว์กินเนื้อเต็มพิกัดบวกกับความหิวโหยเลยรู้สึกว่ากินกันเร็วมาก ไอส่วนต่างๆของเนื้อเราก็ไม่ค่อยรุ้จักหรอก ได้เสี่ยติ๊กกับเสี่ยปอนด์สั่งให้กินกัน แล้วฟอร์ดก็ย่างกันไป แหะๆ สรุปว่ากรูกินอย่างสบายไป … ที่อร่อยที่สุดคงเป็นสันในกระทะร้อน เป็นเนื้อวางมาบน plate ร้อนๆ พลิกหนึ่งครั้งแล้วกินได้เลย อร่อยจริงๆสมกับราคา plate ละ 200 ฿  :P~

อ้อ สำหรับคนที่ไม่รู้จักร้านนี้ ร้านนี้เป็นร้านขายเนื้อแบบมีกลิ่นอายของหมูกระทะหน่อยๆ แต่ทั้งหมดจะเป็นเนื้อให้เราเลือก โดยเลือกเนื้อส่วนต่างๆมาย่างบนเพลตที่ตั้งอยู่บนเตาถ่านอันเล็กๆ พวกเรียนจบชีวะมาน่าจะสั่งง่ายหน่อย เพราะมันคงต้องเรียนพวก antomy ของวัวมาบ้าง ส่วนเราก็กินตามที่เพื่อนสั่งไปละกัน อิอิ  ที่สั่งมากินก็เช่น เสือร้องไห้ (มันคือตรงไหนก็ไม่รู้) ลิ้น แล้วอะไรอีกอ่ะ จำไม่ได้แล้ว.. – -”

 dsc00294

dsc00285

dsc00293

dsc00283

dsc00281

dsc00284

Welcome to my new home

ย้ายบ้านนนนนแล้ววว 🙂

ในที่สุดก็ได้เวลาย้ายบ้านมาอยู่บ้านใหม่ หลังจากที่ฝากผีฝากไข้ไว้กับ Spaces มานานแล้ว จากที่ด้อมๆมองๆอยู่พักนึง ท้ายที่สุดก็ลงตัวที่ Engine ของ WordPress

ที่สำคัญคือสามารถเอาข้อมูลบล็อกทั้งหมดที่เขียนไว้ตั้งแต่ปลายๆปี 2005 ย้ายมาอยู่ที่นี่ได้ทั้งหมด เดี๋ยวจะเอาวิธ๊มาลงนะว่าสามารถทำได้ยังไง

หวังว่าต่อไปน่าจะได้เข้ามาเขียนบ่อยขึ้น แต่ว่าตอนนี้ต้องไปทำงานก่อน ^^

PS.Special Thx Poom for Host.

The 7 Habits

 

ช่วงวันที่ 8-10 กันยาที่ผ่านมาได้มีโอกาสไปอบรม Course The Seven Habits of Highly Effective People สำหรับพนักงานตลาดหลักทรัพย์ ที่โรงแรม Swiss?tel Le Concorde ตรงรัชดา จริงๆคอร์สนี้มีอยุ่เรื่อยๆมานานแล้ว (รุ่นนี้รุ่นที่ 26) แต่เวลาและโอกาสเพิ่งจะเอื้ออำนวย (โทษไปเรื่อยอ่ะ)

ตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะได้อะไรซักเท่าไหร่ เพราะว่าเรื่องเกี่ยวกับมุมมอง การตอบสนองต่อสิ่งเร้าต่างๆ  พวกปรัชญา หรือแนวความคิดที่คนอื่นๆเค้าพูดกัน มันมักจะไม่ถูกใจ ไม่สามารถนำมาใช้กับตัวเองได้ ยิ่งบางแนวคิดนี่ออกๆจะต่อต้านซะด้วยซ้ำไป ยิ่งพวกแนว Successfully Story ทั้งหลายนี่จะไม่ค่อยกินเส้นกัน

แต่จากที่เทรนมาสองวัน (ณ ตอนเขียนวรรคนี้) ยังรู้สึกประทับใจในแนวคิดนี้หลายๆเรื่อง อย่างน้อยก็ทำให้ไม่รู้สึกต่อต้าน เพราะมันไม่ได้มาบอกว่าเราต้องทำอะไร ไม่มีถูกหรือผิด เพียงแต่ให้เราคิด ตัดสินใจ วางแผนให้มากขึ้น ซึ่งผลสุดท้ายแล้วเราอาจจะตอบสนองมันไปเหมือนเดิม (ตอนที่ไม่ได้คิดอะไรให้มันวุ่นวาย) ก็ได้

แต่หลายๆเรื่องสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ อย่างเช่นเรื่องการตัดสินคน/การกระทำเมื่อแว๊บแรกที่เราเห็น อาจส่งผลต่อกริยาที่เราแสดงออกไป ถ้าสิ่งที่เราคิด นั้นไปในทางบวกก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าสิ่งนั้นเป็นไปในแง่ลบเราควรคิด ก่อนซักเล็กน้อยก่อนที่จะ Response มันออกไป แต่ซึ่งถ้าเราคิดแล้วแล้วเห็นว่ามันลบจริงๆ ก็แสดงออกอย่างที่เราอยากทำมันต่อไป แต่อาจจะมีบ้างที่มันคงทำให้เรามองเห็นว่าสิ่งที่เราเห็นนั้นจริงๆไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด …

อีกอย่างคือการมีเป้าหมายก่อนที่จะลงมือทำ .. เพื่อที่จะได้รู้ว่าจะทำอะไร ด้วยวิธีการไหน เป้าหมายถึงจะสำเร็จ … อันนี้ถ้าเป็นเรื่องเรียนหรือเรื่องงานค่อนข้างจะชัด เพราะบางคร้งเป้าเหมายก็ถูกกำหนดมาจากคนอื่น จากสังคม จากกฏเกณฑ์อย่างกลายๆ ทำให้เรามองเห็นก่อนจะทำอยู่แล้ว เรียนให้ได้เกรดดีๆ ทำงานนู่นนี่ให้ทัน ตามกำหนดเวลา .. แต่มันก็มีอีกด้านของตัวเองที่อยากทำอะไรไปตามอารมณ์ ไม่มีเป้าหมายมากมาย ไม่มีเหตุผลรับรองตอนทำ (แต่หาที่หลังได้ไม่ยาก)

… ถ้ามีคำถามว่า อยากให้คนพูดถึงเรายังไงเมื่อเราตายไปแล้ว ? … แล้วเราจะทำอย่างใรถึงจะเป็นอย่างที่เราอยากได้ (อันนี้ความรู้สึกอีกด้านกำลังบอกว่า

แล้วสนใจอะไรกับคนอื่นล่ะ ? แค่เรามันใจว่าถึงเวลานั้นแล้วเราไม่เสียใจก็พอ เรามีความสุขกับสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดมาก็พอแล้วไม่ใช่หรอ) อันนี้ต้องมา Discuss (กับตัวเอง) กันอีกยาวว ..

เรื่องต่อมาที่ชอบคือเรื่องการแบ่งลำดับความสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าส่วนใหญ่เราจะให้ความสำคัญกับสิ่งที่เร่งด่วนกมากกว่าสิ่งที่สำคัญ … ซึ่งบางครั้งทำให้เราทำอะไรที่เร่งด่วนๆทั้งหลายโดยที่มันไม่มีความจำเป็นต้องทำคือไม่ไม่สำคัญ (ส่วนเรื่องที่ทั้งสำคัญและเร่งด่วนก็ทำไปเถอะ) และเราควรจะอยู่ กับสิ่งที่สำคัญมากกว่าสิ่งที่เร่งด่วน อันนี้ค่อนข้างเห็นได้ชัด ลองได้อยู่กับอะไรเร่งด่วนๆตลอดเวลา มันเหมือนมีแรงโน้มถ่วงมากกว่าปกติ

คล้ายไปอยู่ดาวอังคาร (มันหนักกว่าใช่ป่ะ) มันทำให้เราเหนื่อย ถ้าสามารถทำสิ่งที่สำคัญได้แต่เนิ่นๆ หรือล่วงหน้า พอถึงเวลามันก็แค่สำคัญ แต่ไม่เร่งด่วนแล้วเพราะเราทำเสร็จหมดแล้ว …

อีกเรื่องนึงคือการ Think Win-Win อันนี้รู้มานานมากแล้วว่าควรทำแต่เอาเข้าจริงยังนำไปปฏิบัติได้ยากอยู่ เพราะการคิดอะไรเผื่อคนอื่นก่อนคิดถึงตัวเอง มันขัดกับสิ่งที่ปฏิบัตืมาอย่างเสม่ำเสมอ .. คือโดยปกติเราต้องหาทางให้เราทำสำเร็จก่อน ถึงจะคิดต่อว่าช่วยให้คนอื่นสำเร็จด้วยได้มั๊ย.. ซึ่งมันก็ดี

แต่ถ้าคิดถึงคนอื่นก่อนเลยว่ามี win win รึป่าวเนี่ยคงต้องฝึก ? แต่ก็ไม่ใช่ทุก Case และไม่ใข่กับทุกคนที่เราจะคิดแบบนี้ได้ ..

เรื่อยเปื่อย

 

^^ ช่วงนี้ใช้ชีวิตได้เรื่อยๆมาก ดูไม่ค่อยได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันซักเท่าไหร่ … แต่ก็นั่นแหล่ะ การใช้ชีวิตมันก็ไม่เห็นจะต้องทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย (รึป่าววะ)

จำเป็นด้วยหรอที่ต้องทำทุกอย่างให้ดีที่สุด เพื่อที่จะได้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุดตามที่ต้องการ … บางมุมก็คิดว่าใช่

แต่พอลองเปลี่ยนมุมมอง (เป็นคนละคน) ก็รู้สึกเหนื่อยๆขึ้นมาซะเฉยๆ ปล่อยให้เราทำในสิ่งที่อยากทำ ทำไปเรื่อยๆ เหนื่อยๆก็พัก

ช่วงราวๆเกือบเดือนที่ผ่านมาก็ไม่ค่อยมีเหตุการณ์อะไรมากระชากให้หลุดจากวงโคจรซักเท่าไหร่

เรื่องงาน ก็มี Crisis บางเป็นครั้งคราว ..พอให้หัวหมุนไปบ้าง

วันก่อนก็มีนัด Meeting กับเพื่อนๆที่หาดใหญ่ ก็ขำๆดี แต่ดูเงียบเหงาไปหน่อย

แล้วก็ไม่กี่วันที่ผ่านมาเว็บจิ๊บจิ๊บโดน Hack จากเท่าที่ดู รูสึกจะโดนทั้ง Host เลย.. ก็คงทำอะไรไม่ได้นอกจาก upfile ขึ้นไปใหม่ .. ก็แค่นั้น

วันที่ 3 มิ.ย. ที่ผ่านมาได้มีโอกาสเข้าไปฟังบรรยาย หัวข้อ

Becoming a ‘Trusted Advisor’ – how to present the testing message effectively

by Lloyd Roden, Grove Consultant.

ตอนแรกก็นึกว่าคงเป็นอะไรที่หนักๆออกแนววิชาการๆหน่อย แต่เอาเข้าจริงๆแล้ว กลับได้ข้อคิดดีๆเกี่ยวกับการไว้ใจกัน

เพราะการที่จะให้คนที่ผิดหวังจากการไว้ใจเรานั้นกลับมาไว้ใจเราอีกครั้งมันไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะฉะนั้นอย่าให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นจะดีที่สุด

ช่วงนี้งานเยอะ.. กำลีงรู้สึกว่ามันไม่ทันตามกำหนดการ เลยทำให้ต้องทำงานด้วยความกดดันตลอดเวลา … เฮ้อ…….

พอก่อนดีกว่า… เขียนตอนอารมณ์เหนื่อยๆมันหดหู่เกินไป 😛

ขอปิดท้ายด้วยข้อความเล็กๆที่อ่านแล้วชอบในความหมาย …

 

มันไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นการมารู้ว่าสิ่งที่คิดว่าเคยเป็นสีดำนั้นความจริงแล้วเป็นสีขาว แต่เป็นความรู้สึกในทำนองว่า

สิ่งที่คิดไว้ว่ามีเพียงสีเดียวนั้น พอมองดูดีๆแล้วกลับพบว่ามันมีสีต่างๆซุกซ่อนอยู่

มีทั้งสีดำ มีทั้งสีขาว

มีทั้งสีแดง สีน้ำเงิน และสีเหลือง

มีทั้งสีสว่าง และสีมืด

มีทั้งสีสวย และสีน่าเกลียด

มองเห็นได้หลายสีเมื่อเปลี่ยนมุมมอง

… ตัดตอนมาจากหนังสือ เมื่อสวรรค์ให้รางวัลผม (Colorful by Eto Mori)

Scroll to top