เมื่อวาน (02/02/2008) ได้มีโอกาสพาตากับยาย ไปกราบพระศพสมเด็จพระพี่นางฯ มาด้วยย
ก็ไปกันตอนบ่ายๆ แดดร้อนมากมาย แต่การที่แดดร้อนก็มีข้อดีของมันคือ ทำให้เราได้รูปท้องฟ้า ที่ฟ๊าฟ้าโดยไม่ต้องพึ่ง CPL … ^^ (คุ้มกันมั๊ยเนี่ย…)
ตอนบ่ายๆก็มีไปกินอะไรกันเล็กน้อย… ก่อนที่ตอนเย็นๆ วิปจะโทรมานัด (แบบงงๆ) ว่าเดี่ยวขึ้นมาแล้วไปหาอะไรกินกัน ไอเราก็ไปแบบงงๆ
แวะรับวิปแล้วก็ไปเจอกับ เหมือน สตางค์ เก๋ เดี่ยว ตุ ที่ร้านกินดื่ม แถวๆพระอาทิตย์กินกันอยู่พักใหญ่ๆก็เป็นอันว่าเค้าจะไปต่อกันที่บริคบาร์ แต่เราก็ขอชิ่ง
เนื่องจากเอารถมากินไม่ค่อยอร่อย ^^ ก็เลยกะว่าแวะไปส่งน้องเหมือนแล้วก็กลับบ้าน แต่ว่า… พอกลับมาถึงรถ .. รถเจ้ากรรมก็ดันสตาร์ตไม่ติด
จังหวะแรกเปิดประตูด้วย Remote ก็ไม่ได้เลยสันนิษฐานก่อนเลยว่ากุญแจต้องมีปัญหาแน่ๆเลย (เหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว) ก็เลยะว่ากลับบ้านไปเอากุญแจสำรองมาลองดู
เลยนั่งแท๊กซี่ไปส่งเหมือน เสร็จจะกลับบ้านพอส่งเหมือนเสร็จก็ดันนึกขึ้นได้ว่า .. กุญแจบ้านอยู่ในรถนี่หว่า .. โอ๊ย !! พระเจ้า กรูต้องนั่งรถกลับไปเอากุญแจบ้านอีกใช่มั๊ยเนี่ย…
แต่ก็ไม่มีทางเลือก หลังจากไปเอากุญแจบ้านที่รถแล้วก็ไปเอากุญแจรถที่บ้าน (อ๊ะ ฟังดูงงๆมะ ) ก็กลับมาถึงรถที่ถนนพระอาทิตย์ตอนตีหนึ่งนิดๆ
ก็เลยลองเปิดประตูกับ Remote อีกอันดู ปรากฏว่า แง่วววว… ไม่ติด และขณะที่นั่งๆเซงอยู่ประมาณห้าวิ ก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวาย เลยออกมาดูก็เจอ
วัยรุ่นสองกลุ่มทะเลาะกัน.. ก็ไม่ได้สนใจ แต่อีกแป๊บนึงก็มีเสียงดัง ปัง !! แล้วก็มีเสียงอื่นๆตามมาอีกมากมาย .. ตอนนั้นก็คิดในใจว่า
เฮ่ย.. นี่กรูยิ่งเซงๆอยู่ว่ารถสตาร์ถไม่ติดยังต้องมาคอยหลบห่ากระสุนอีกหรอวะเนี่ย… อันนี้ในใจนะเลยมีหยาบคายบ้าง เอิ้กๆ
หลังจาตำรวจมาก็คลี่คลายไป กลับมาสู่ปัญหาของตัวเองต่อ .. แล้วจะทำไงกะรถล่ะทีนี้ .. หลังจากที่ได้ประชุมร่วมกับตัวเองแล้ว ได้ข้อสรุปว่า
น่าจะเป็นที่แบตมั้งลองหาใครช่วยพ่วงละกัน เลยเริ่มมองๆหาคนช่วยพ่วงแบต แต่ตอนั้นเกือบๆตีสอง ใครจะมาช่วยวะ ลองเรียกแท๊กซี่สองสามคันก็ไม่ได้ผล
มีคนแนะนำให้ลองโทรไปที่ 1644 สวพ.91 (ตอนขับรถไม่เคยคิดจะฟังอ่ะ คนเรา… )
พอลองโทรไป (เหมือนจะได้ออกอากาศด้วย กร๊ากๆๆ) ไม่ถึงห้านาทีก็มีพี่แท๊กซี่คนนึงมาช่วยย เค้าก็ช่วยพ่วงแบต แต่ตอนกำลังจะพ่วงก็มีพี่อีกคนขี่จักรยานมา ย้ำว่าขี่จักรยาน ….
ก็มาช่วยๆกัน ตอนนั้นในใจคิดเลยว่า คนไทยใจดีมีเยอะจริงๆ ก็ช่วยทำกันอยู่พักนึงพอรถสตาร์ถติดพี่แท็กซี่ก็ไป เราก็ให้เงินเค้าเล็กน้อยเป็นสินน้ำใจ … เหลือพี่ที่ขี่จักรยามาช่วย
(ลืมบอกว่าเค้าฟังวิทยุผ่านมือถือ) เค้าก็ช่วยดูต่อให้ว่าจะได้ไม่ดับกลางทาง แต่ๆๆ มันเริ่มรู้สึกแปลกๆ เมื่อเค้าขอเงินไปซื้อน้ำกลั่นมาเติมรถซึ่งร้านเค้าไม่ขายก็คือซื้อไม่ได้
แต่ตัง 100 นึงทีเค้าเอาไปก็ไม่คืน (แต่ในใจก็กะว่าจะให้เค้าอยู่แล้ว) ไม่เพียงแค่นั้นตอนจะเสร็จแล้วเค้าก็มายืนข้างๆเบาะ ไอเราก็ได้ยินเสียงแกรกๆ
หันไปดูคือเจอว่าเค้าจำลังจะหยิบ ถุงใส่เหรียญที่วางอยู่.. เลยเอ่ะใจแปลกๆ แถมยังภพูดอีกว่า "ถุงเหรียญอะไรไม่รู้วางอยู่ "
พร้อมถึงนึกได้ว่าเค้าพยายามจะให้เราไปซื้อน้ำกลั่นเอง ทั้งๆที่สตาร์ถรถทิ้งไว้ แต่โชคดีว่าเราได้ไปเพราะเห็นว่ารถสตาร์ถอยู่ ..เฮ้อ เกือบไปแล้วว
แถมตอนจะออก ยังเคาะกระจกถามว่าในรถมีน้ำกินไปขอตังซื้อน้ำหน่อย ..
ตอนนั้นทนไม่ไหวก็เลยบอกไปว่า "ตังค่าซื้อน้ำเมื่อกี้ร้อยนึงยังไม่ได้คืน อันนั้นผมให้พี่" .. แล้วขับออกมาเลย … ก็สรุปว่าถึงบ้านตอนตีสามม … เอิ้กๆ
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คนไทยดีๆที่มีน้ำใจยังมีอีกเยอะ ไม่ได้หายากอย่างที่หลายๆคนบอกไว้
แต่บางครั้งโจรในคราบนักบุญก็ยังมีให้เห็นเหมือนกัน … ระวังไว้บ้างก็ดี
แนะนำว่าถ้าเป็นผู้หญิงกลับบ้านนอนดีกว่า. ค่อยกลับมาเอารถวันอื่นเห้อ..
เฮ้อ.. ไปทำบุญหน่อยดีกว่ามั๊ยเนี่ย…. ไอเดี่ยวพาซวยแน่ๆเลย
PS. ขอบคุณแท๊กซี่คันนั้นด้วย ไม่ได้ถามชื่อแต่จำได้คุ้นๆว่าทะเบียน มง 4755 สีเขียวเหลือง (มั้ง)
PS2. ตอนรอคนมาช่วยพ่วงแบตนี่ ฝนตกอีกตังหาก เปียกด้วย… – -"
February 19, 2008
February 12, 2008
February 8, 2008
February 3, 2008
February 3, 2008
February 3, 2008