ปกติเวลา account online ใดๆของเราจะโดนแฮกเนี่ย โดยส่วนใหญ่จะเป็นไปได้สองกรณี คือ
– เราถูกแฮกอยู่คนเดียว (ซวยโคตร) หรือ
– บริการนั้นๆโดนแฮก ข้อมูลผู้ใช้บริการ รหัสผ่าน หรือาจจะรวมถึงข้อมูลบัตรเดรดิตหลุดออกสู่สาธารณะ (ซวยกันทั้งหมด)
ที่ผ่านๆมาเคยเขียนวิธีป้องกันกรณีแรก ที่หลายๆครั้งจะโดนทำ Social Engineering จำพวก คำถามลืมรหัสผ่านง่ายเกินไป จดรหัสผ่านพร่ำเพรื่อ หรือแชร์รหัสกับคนอื่น ซึ่งการใช้รหัสยากๆ อาจจะช่วยได้บ้าง เคสนี้ยังรวมถึงพวกติดไวรัส ไม่ว่าจะเป็นบนคอมหรือบนมือถือ หรือที่ Router หรือแม้กระทั่งโดนพวกเว็บ phishing ซึ่งการใช้โปรแกรมป้องกันไวรัส ไม่เข้าเว็บที่สุ่มเสี่ยง หรือถ้าเข้าก็ใช้พวกโหมดพิเศษใน Browser ที่ไม่ทิ้งร่องรอยเราเอาไว้ รวมถึงการใช้ล็อกอินสองชั้น (2 steps verification / multi-factor authentication) ก็จะยิ่งช่วยป้องกันได้มากขึ้น
คราวนี้เราลองมาดูกรณีที่สองกันดูบ้าง คือ Service ที่เราใช้บริการนั้นโดนแฮก ซึ่งเกิดขึ้นไม่ง่าย แต่ก็ไม่ได้ยากจนเกินไปนัก ยิ่งเดียวนี้ Startup ผุดเป็นดอกเห็ด เรายิ่งต้องรู้อะไรพวกนี้ไว้บ้าง
โดยมีข่าวสดๆร้อนๆที่น่าสนใจสองอันคือ LinkedIn เคยถูกแฮกเมื่อปี 2012 .. แล้วข้อมูลก็เพิ่งจะถูกปล่อย(ขาย)สู่สาธารณะเมื่อเร็วๆนี้ หลุดแล้วเป็นร้อยล้านรายการ
อีกข่าวที่เป็นของไทย คือ เว็บ e-commerce รายนึงในไทยพัฒนาการเชื่อมต่อกับ Payment Gateway ที่ไม่รัดกุมพอ ทำให้ข้อมูลบัตรเครดิตลูกค้ารั่วไหล (แถมยังไม่ยอมรับอีก) (แถมตอนนี้เปลี่ยนชื่อไปอีก)
เรื่องการป้องกัน เราคงทำอะไรเองไม่ได้มากนัก ทำได้ก็คงเลือกใช้บริการเจ้าที่ดูน่าปลอดภัยหน่อย อีกอย่างนึงที่เริ่มได้ง่ายๆก็คือ พยายามอย่าใช้รหัสในแต่ละเว็บไซต์เหมือนๆกัน เพื่อจำกัดความเสียหายในกรณีที่ข้อมูลหลุดจากที่นึง จะได้ไม่ทำให้บริการอื่นๆเสี่ยงไปด้วย
อีกเรื่องนึงก็คงเป็น 2 steps verification ที่ช่วยให้แม้ว่าข้อมูล username/password ของเราหลุดออกไป คนอื่นก็เอาไป login ใช้งานไม่ได้ .. เห็นมั๊ยว่าล็อกอินสองชั้นเนี่ย มันช่วยได้ทั้งสองกรณีเลย 😀
แล้วเราทำอะไรได้อีก ?
มีบริการอันนึงที่คุณ Troyhunt เป็นพนง. Microsoft ทำส่วนตัวขึ้นมา .. เป็นเว็บไซต์ชื่อ haveibeenpwned.com
สิ่งทีเค้าทำก็ง่ายๆเลยคือ รวมรวบข้อมูลที่ถูกแฮกแล้วปล่อยออกมาสู่สาธาณะ ตรวจสอบว่าเป็นของจริง แล้วก็เอามาใส่ในเว็บดังกล่าว (ถ้าสนใจ เค้าเขียนวิธีที่เค้าตรวจสอบข้อมูลที่ถูกปล่อยออกมาไว้ ที่นี่ )
เราสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้ คือ ตรวจสอบ username / email ของเราว่ามีอยู่ในฐานข้อมูลของเว็บหรือไม่ .. ถ้ามีนั่นแปลว่าคุณโชคร้ายแล้วคับ … ข้อมูลของคุณมีความเสี่ยงที่จะโดนใช้งานโดยผู้ไม่ประสงค์ดี ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง … ควรเปลี่ยนรหัสผ่านโดยด่วน แล้วยิ่งถ้าใช้รหัสผ่านเดียวกันหลายๆเว็บไซต์ นี่เปลี่ยนยกแผงเลยครับพี่น้อง !!!
โดยทางเว็บจะบอกบริการที่ข้อมูลนี้หลุดออกมา รวมถึงที่อื่นที่พบข้อมูล(เว็บจำพวก pastebin) และข้อมูลที่หลุด เช่น อีเมล username รหัสผ่านแบบเข้ารหัส หรือรหัสผ่านแบบ plain text (สยองโคตร) คำใบ้รหัสผ่านก็ยังมี มีคำแถลงการของเจ้าของบริการที่ทำหลุดหรือไม่
เว็บยังมีสิ่งที่เรีกยว่า Notify me .. คือให้เรากรอก email ไว้กับเว็บไซต์ แล้วทางเว็บจะเตือนเราถ้ามีข้อมูลอีเมลของเราหลุดมาในอนาคต .. วันนี้ยังไม่มีไม่ได้แปลว่าวันข้างหน้าจะไม่มี … ตั้ง notify ไว้ก็คงไม่เสียหาย (ถ้าอีเมลหลุดจากเว็บนี้อีก ก็คงซวยซ้ำซวยซ้อนจริงๆ แต่เว็บก็ไม่ได้เก็บอะไรมากกว่าอีเมล)
Good luck have fun !!