วิธีการแก้ NAS Buffalo Linkstation Duo ให้รองรับ SMB2

ใช่แล้วครับ Buffalo LinkStation Duo ตัวที่ซื้อมาเมื่อ 10 ปีก่อนนั่นแหล่ะ พักหลังนี่เอามาเป็น NAS สำหรับเก็บ Video จากกล้องวงจรปิด (Xiaomi)

ปกติพวกกล้องวงจรปิดพวกนี้มันเก็บ SD Card ไว้ในตัวเอง แปลว่าถ้าใครซักคนขโมยกล้องไปด้วย เราก็เสียวิดีโอทีอัดไว้ไปด้วย เราเลยให้มันส่ง video มาเก็บไว้บน NAS ด้วย นอกเหนือจากเก็บไว้บนตัวเอง … แต่วันนี้ไม่ได้มาแชร์เรื่องนี้

เรื่องที่ตั้งใจจะแชร์คือ ตั้งแต่ปี 2016, Microsoft แนะนำให้เลิกใช้โปรโตคอล SMB1 พูดง่ายๆก็คือโปรโตคอลที่ Windows ใช้ในการ Share file บน Network นั่นแหล่ะ เพราะมีปัญหาเรื่องความปลอดภัย .. หลายปีผ่านไป Windows 10 เลยปิดการใช้งาน SMB1 เป็นค่าเริ่มต้น

ซึ่งนั่นทำให้เกิดปัญหา เพราะว่าตัว LinkStation ดันมีแค่ SMB1 พอฝั่ง Windows ปิด เลยทำให้เข้า Sharepath ไปหา NAS ไม่ได้ ความยุ่งก็เลยเกิด … หลายๆคนเลยไปเปิด SMB1 กลับมาแทน ซึ่งส่วนตัวไม่ค่อยเห็นด้วย เลยลองไปหาข้อมูล เพื่อจะ Enable SMB2 บนตัว NAS แล้วก็พบว่าจริงๆ SMB engine บนตัว NAS (ซึ่งเป็น unix based) เนี่ย รองรับ SMB2 นะ แต่มีค่า configuration ที่ไม่ได้ใส่ไว้ เราเลยต้องมาเพิ่มมันเอง

ขั้นตอนที่จำเป็นจริงๆในการทำให้มันใช้ได้ คือ เพิ่ม code 4 บรรทัด สำหรับเพิ่ม configuration ให้กับตัว SMB Engine บน NAS … แต่มันจะก็ใช่ว่าใครๆจะเข้าไปแก้โคดได้นี่นา นั่นคือขั้นตอนที่ทำให้มันยุ่งขึ้น มาลองดูกัน

* หมายเหตุ การแก้ไขระบบนี้อาจจะทำให้ NAS มีปัญหาจนไม่สามารถใช้งานได้ หรืออาจจะทำให้ NAS มีความปลอดภัยลดลง

1. เปิดสิทธิการเข้าไปแก้ไขไฟล์ในระบบ (Enable root access)

  • ดาวโหลดเครื่องมือ

    มีเครื่องมือที่นักพัฒนาทำไว้ สำหรับเปิดให้เราสามารถ remote access (ssh/telnet) เข้าไปที่ NAS ได้ ตัว tool มีการนำมาพัฒนาต่ออีกหลายอัน ตัวที่ผมใช้แล้วสำเร็จคือตัวนี้ ACP Commander (gry.ch) ผมใช้ตัว EXE for Microsoft Windows ทั้งนี้ตัว tool ต้องการ Java Runtime ด้วย อาจจะต้องดาวโหลดถ้ายังไม่มี

    เมื่อดาวโหลดมาแล้ว คลาย zip แล้วสามารถรันโปรแกรมได้เลย acp_commander_gui_156.exe
  • Enable SSH และ ตั้งรหัสผ่าน root
    โดยปกติตัว acp_commander_gui จะสามารถหา NAS ของเราเจอ ถ้าทั้งคู่ต่ออยู่ใน network เดียวกัน สิ่งที่เราต้องทำก็คือ กรอกรหัสของ admin user ซึ่งเป็นตัวเดียวกับ user ที่เราล็อกอินเข้าไป manage NAS นั่นแหล่ะ

    ถ้าสำเร็จ ปุ่ม Enable SSH และ ปุ่ม Set Root PW จะ Enable ขึ้นมาให้เรากด เราก็กดตามนั้นเลย เริ่มจาก Enable SSH แล้วตามด้วย Set Root PW ซึ่งจะมีหน้าต่างขึ้นมาให้เราใส่รหัส root

    เราสามารถทดสอบได้ด้วยการเปิด powershell หรือ cmd แล้วใช้คำสั่ง ssh -l root {ip address ของ NAS} ถ้าเราเข้าได้ก็แสดงว่าเราพร้อมจะแก้ไขไฟล์ล่ะ ถ้ายังไม่ได้ก็ต้องแก้ไขก่อน keyword น่าจะเป็นการ enable root access บน Buffalo LinkStation LS-WXL

2. แก้ไขไฟล์ smb.sh

เมื่อเราพร้อมแล้ว เราก็ ssh เข้าไปที่ NAS ของเรา โดยแนะนำดังนี้

  • backup file เก่า
    เมื่อเรา ssh เข้าไป ปกติเราจะอยู่ที่ home directory ของ user เราก็ควรจะก๊อปไฟล์มาเก็บไว้ กันเหนียวเผื่อเราแก้ผิด ใช้คำสั่งประมาณ cp /etc/init.d/smb.sh .
  • เริ่มแก้ไฟล์
    บน NAS ไม่มี Editor หรูๆอย่าง nano เราก็ต้องใช้ของที่มีคือ vi ที่ติดมากับ NAS (ส่วนตัวจะไม่พยายามลงอะไรไปนอกเหนือจากที่มีอยู่) วิธีการใช้ vi คงต้องไปหาเพิ่มเติมนะครับ อยู่นอกเหนือจากโพสต์นี้

    เริ่มโดย vi  /etc/init.d/smb.sh
    เมื่อเปิดไฟล์มาแล้ว หา function configure() ซึ่งในนั้นจะมีบรรทัดที่เรียก
        /usr/local/sbin/nas_configgen -c samba
        if [ $? -ne 0 ]; then
                echo "$0 configure fail"
                exit 1
        fi

เราต้องแก้ให้เป็นแบบนี้

        /usr/local/sbin/nas_configgen -c samba
        if [ $? -ne 0 ]; then
                echo "$0 configure fail"
                exit 1
        fi

        /bin/sed -i '3i\\
       min protocol = SMB2\\
       max protocol = SMB2\\
       ' /etc/samba/smb.conf

หลักๆคือเพิ่มด้านล่างลงไป ให้มันไปแก้ configuration ของ SMB ทุกครั้งที่มัน start เมื่อเราแก้ไฟล์แล้ว save ออกมาแล้ว เราก็ให้คำสั่ง /etc/init.d/smb.sh reload ให้มัน reload ใหม่ เสร็จแล้วก็ทดสอบว่าเข้า Sharepath จาก Windows ได้มั๊ย

เป็นอันจบสิ้นกระบวนการ ใครมีอะไรสงสัยลองถามมาได้ครับ

Ref:

ADSL Modem Router : Netgear vs Buffalo

 

พอดีว่า Router ตัวเก่าเพิ่งจะเอ๋อๆ ..  เลยไปถอยตัวใหม่มา Buffalo … มา ราคา 1150 บาทที่ IT Square อันนี้เน้นถูกเพราะว่าตัวโหลดบิตมี NAS อยู่แล้ว เลยไม่ต้องการ Feature อะไรเยอะแยะ

 

เลยลองเอามาเทียบกับตัวเก่า Netgear ดู

Netgear คือ รุ่น DG834G (version 5)

Buffalo คือ WBMR-HP-GNV2

ขอออกตัวล้อฟรีไว้ก่อนว่าทั้งหมดเป็นความเห็นส่วนตัวจากการใช้งานจริงของตัวเองนะคร๊าบบ 🙂

 

สิ่งที่ทั้งสองตัวทำได้

– ต่อ ADSL (แน่นอน เพราะมันเป็น Modem ทั้งคุ่ O_o)

– Lan 1 Gbps  x 4 port

– รองรับ WiFi Security WPA2 TKIP/AES

– WPS (ไม่ได้ใช้หรอก)

– มีเสาแยก

– Forward port (Virtual Server)

– Remote Management ( Config Router จาก Internet)

– Dynamic Domain (ex. Dyndns)

– Log

– Qos

– UPnP

 

 

Netgear DG834Gv5

ข้อดี : 

รูปร่างหน้าตา ขาวมุมมนๆสวยงาม เอาไว้โชว์ได้ เสาเล็กๆน่ารักๆ

ระบบ Access List / MAC Filtering ใช้งานง่ายกว่ามาก ตอน Add เข้า List สามารถใส่รายละเอียดได้ว่า MAC ไหนเป็นเครื่องไหน

ระบบ Log ถึงแม้ว่าจะแยกรายละเอียดได้ไม่เยอะเท่าอีกตัว แต่สามารถตั้ง Schedule ให้ส่งเมลได้ อันนี้เจ๋งมากสำหรับบ้านพักทั่วไป แล้วก็ log จะไม่หายไปจนกว่าจะ Restart Router

มี Domain ให้เข้าไป Config ด้วย คือ http://www.routerlogin.com ไม่ต้องเข้าด้วย IP Address

 

ข้อเสีย : 

เวลาเน็ตหลุดชอบทำให้เวลาของ router เพี้ยนไปด้วย ทำให้ดู log ไม่รู้เรื่อง

มีปัญหากับ อุปกรณ์ของ Apple บางตัวที่มองว่ามี package Dos จาก อุปกรณ์ยี่ห้อนั้น

 

 

 

 

 

 

 


 

 

Buffalo WBMR-HP-GNV2

ข้อดี : 

มีระบบ Eco ตั้ง Schedule ให้ปิดหรือทำงานแค่บางส่วน เพื่อประหยัดไฟ สั่งให้ปิดไฟ LED ได้

ระบบ Log สามารถตั้งให้ส่งไฟ Syslog server ได้

สามารถมีได้หลาย SSID / ใช้ AOSS ได้

Wireless n @ 150 Mbps

มี Dynamic Domain ให้เลือกมากกว่า (1 อัน)

 

ข้อเสีย :

Log เปิดดูแล้วบางทีก็หายไปเลย ถ้าอยากเก็บไว้ดูต้อง save ลงเครื่องมาเก็บไว้

เสาดูต้นใหญ่ 5dB แต่ดูเหมือนสัญญาณจะสู้ Netgear ไม่ได้ (เทียบจาก Router อยู่ชั้นสองแล้วเล่นจากมุมอัพในชั้นล่าง)

ระบบ DHCP โง่ไปหน่อย ถ้ามี IP ในวงที่ตั้งค่าเองไปแล้ว แต่อยู่ในช่วงที่แจก DHCP ด้วย ตัวนี้ไม่สนใจ .. ยังแจกให้เครื่องอื่นอีก #กาก

หน้า Config มีปัญหากับ Adblock ทั้งหลาย เพราะมี Class ชื่อ “AD_BODY” เลยทำให้พวกนั้นนึกว่าเป็นโฆษณา – -”

 

 

 

 

 

 


 

ใครมีอะไรสงสัยก็ลองถามมาได้นะคร๊าบบ  ตอนนี้เอา Netgear ตัวเก่ามาเสียบใช้งานแทน .. ตอนแรกนึกว่าเจ๊งเห็นเน็ตหลุดๆ แต่ที่ไหนได้ ปรากฏว่าเน็ตกากนั้่นเอง … สุดท้ายเรียกช่างมาดู ได้เปลี่ยนอุปกรณ์ทุกอย่าง ตั้งแต่กล่องขาวก่อนต่อเข้า Router / การ์ด DSLAM อะไรซักอย่างที่ชุมสาย แล้วก็สุดท้ายช่างเรียกให้อีกทีมมาเดินสายโทรศัพท์ในบ้านให้ใหม่ด้วย .. หวังว่าจะหายกากซักที 😛

 

ปล. จริงๆมี Router Linksys ตัวเมพพิมพ์นิยมอยู่อีกตัวที่เอามาลง Custom Firmware ทำเป็น Bridge อยู่ .. ไว้ว่างๆค่อยพูดถึงมันละกัน 🙂

วิธีอัพเกรดเฟิร์มแวร์ของ Buffalo Linkstation Duo

มีคนถามเข้ามาพอดีว่าจะอัพเกรดเฟิร์มแวร์ของ Buffalo Linkstation Duo ยังไง (ของผมเป็น LS-WXL)

กอรปกับเฟิร์มแวร์เวอร์ชันใหม่ออกพอดี ก็คือเวอร์ชัน 1.42 (ออกเมื่อวันที่ 8 มิ.ย. 2554)

ขอเล่าตั้งแต่แรกเลยละกัน สำหรับคนที่มี firmware version 1.41 อยู่แล้วนั้น ตัวเครื่องจะมีไฟสีเหลืองติดในช่อง Infoerror (version อื่นไม่แน่ใจนะ) และถ้าเปิดตัว NAS Navigator ในคอมขึ้นมา แล้วฟ้องว่า Unknow Error หรืออะไรที่ใกล้เคียงอันนี้ แปลว่า NAS Navi  ของเรานั้นเวอร์ชันเก่าไป อ่าน Message นี้ไม่เข้าใจ ส่วนถ้าเครื่องไหนไม่เป็นก็ข้ามไปขั้นตอนอัพเกรดเฟิร์ทแวร์ได้เลยครับ

ขั้นแรกก็ขอให้อัพเกรดตัว NAS Navi ของเราก่อน เพื่อพิสูจน์ว่าไฟเหลืองอันนั้นเป็นเพราะต้องการให้อัพเกรดเฟิร์มแวร์จริงๆ ไม่ได้ error เพราะสาเหตุอื่น

NAS Navi ดาวโหลดได้ที่ http://www.buffalo-asia.com/cgi-bin/support/download.cgi?country=th&to=ls_wxl_r1 https://www.buffalotech.com/support/downloads/linkstation-duo เลือกตรง Utilities ตาม OS ของเรา โหลดเสร็จก็คลายซิปแล้ว run ตัว NASNaviInst ก็เป็นอันเสร็จ

Scroll to top