MOCA : พิพิธภัณฑ์ศิลปะไทยร่วมสมัย

… ออกตัวล้อฟรีไว้ก่อนเลยว่าไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้เขียนบล็อกเรื่องนี้มาก่อนเลย คำไหนผิดอะไรยังไงก็แก้ให้ด้วยนะคร่าบ 😛

หน้าทางเข้า

เริ่มจากวันนี้เรียนโทเสร็จ กำลังขับรถกลับบ้าน … ด้วยความที่ไม่มีอะไรทำแล้วเหลือบไปเห็นพิพิธภัณฑ์อันนึงมานานล่ะ ตึกเท่ดีทับๆไม่มีหน้าต่างแล้วมีรอยฉลุอยู่หน่อยนึง ตั้งอยู่ถ.โลคอลโรด เยื้องๆม.เกษตร เลยเปรี้ยวขับรถเข้าไปดู .. โดยที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไรด้วยซ้ำ – -”

แค่ทางเดินจากที่จอดรถขึ้นไป .. ก็หล่อแล้ว

ก็เลยได้มีโอกาสเข้าไปดูพิพิธภัณฑ์ศิลปะไทยร่วมสมัย (Museum of Contemporary Art)

ข้างในจะเป็นที่รวมภาพวาด ปฏิมกรรม มากมาย .. ซึ่งส่วนใหญ่เป็นของจิตกรชาวไทย ..

คือส่วนตัวเนี่ย จริงๆไม่มีความรู้ด้านศิลปะแม้แต่น้อยนิด .. คือไม่รู้ว่าใครดัง ไม่รู้ว่าภาพในมีความสำคัญ

แต่แรงผลักดันอันนึงคือ .. ตอนไปอังกฤษยังอุตสาห์ดั้นด้นไปดู National Gallery บ้านเค้าตั้งนาน (ถึงแม้จะไม่รู้เรื่องเลย)

แล้วทำไมทีศิลปะบ้านเรา ถึงจะละเลยซะดื้อๆ ? เราก็ต้องมีความยุติธรรมกันบ้าง .. หรอวะ

ถ่ายรูปได้แค่โถงตรงนี้ .. มีร้านกาแฟให้บริการด้วย

น่าเสียดายหน่อยนึงตรงที่ข้างในเค้าห้ามถ่ายรูป (น่าจะเป็นเหมือนกันทุกพิพิธภัณฑ์ศิลปะ) เลยได้รูปมากหน่อยเดียว

 

ที่จำได้คร่าวๆในนั้นคือมีผลงานของอ.ศิลป์ พีระศรี .. ซึ่งก็ไม่เคยรู้จักมาก่อนอีกเช่นกัน – -” (เมิงรู้อะไรบ้างเนี่ย)

เพิ่งจะรู้ในนั้นว่าแกเป็นคนก่อตั้งม.ศิลปากร .. อีกอันที่ทำให้จำได้ดีก็คือ แกเป็นคนปั้นรูปปั้นรอบอนุสาวรีย์ชัยฯ !!

โถงทางเข้า .. โปร่งขึ้นไปถึงหลังคาเลย

อีกอันที่ชอบและเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกคือ “ภาพพิมพ์แกะไม้”  .. โดยเฉพาะของอ.ประพันธ์ ศรีสุตา น่าจะมีเป็นร้อยรูปเลย เท่ห์ดี  (เป็นภาพประมาณนี้)  .. ฟังดูเหมือนรู้เรื่องศิลปะมะ 555+

 

อีกอันที่จำได้คือ ได้ดูภาพวาดขุนช้างขุนแผน .. และล่องไพรฉบับดังเดิม .. (อันนี้ไม่ค่อยตื่นเต้น .. คือจำเนื้อเรื่องไม่ได้แล้ว)

หลักๆไปเดินดูอยู่เกือบสองชม.ที่จำได้ก็มีแค่นี้ – -”  จริงๆแอบจดชื่อศิลปินที่ชอบมาสามสี่ท่านเหมือนกัน เผื่อว่าอารมณ์ดีจะตามไปดูรูปอื่นๆของเค้า

ข้างในยังมีของศิลปินดังๆหลายท่านที่ได้ยินชื่อในสื่อบ่อยๆ .. แต่ถ้าบางทีก็เข้าไม่ถึงจริงๆ .. หรือภาพสวย แต่ดูแล้วมันไม่ใช่แนว  O_o

ชอบอะไรแบบนี้มาก .. จริงๆอาคารก็เป็นอย่างนึงที่ทำให้อยากมาดู

ปิดท้ายด้วยข้อมูลกันเล็กน้อย

ที่นี่ค่าเข้าประตู คนละ 180 บาท

แต่มีข่าวดีคือ นักศึกษา 80 บาท และข่าวร้ายคือนับถีงแค่ปริญญาตรี – -”

ที่จอดจดฟรี .. เจ้าหน้าที่เยอะแยะมากมาย ยิ้มแย้มและบริการดีมากก .. 😉

สวนด้านนอก .. เสียดายที่ตอนออกมานั้นฝนตก

เค้ามีเว็บไซต์ด้วย รู้สึกว่าจะเข้าไปดูแบบ Virtual ได้ด้วย ที่นี่ http://www.mocabangkok.com แต่ยังไงก็ไม่เหมือนไปดูเองหรอก

แผนที่ตามด้านล่างเลย (ใน Google Maps ยังสร้างไม่เสร็จเลย – -“)

บ่ายวันอาทิตย์ก็หมดไปด้วยการหลงไปในตึก 6 ชั้นแห่งนี้ .. เผื่อใครสนใจจะไปเสพงานศิลปะ 🙂

 [mappress mapid=”15″]

Dine in the Dark : เมื่อตาที่มีอยู่ดูไม่เห็นอะไร

วันนี้มีโอกาสไปลองกินร้านอาหารร้านนึงที่ชื่อว่า Dine in the Dark หรือเค้าเรียกย่อๆว่า DID


ครั้งแรกที่ได้ยินชื่อร้านนี้ คือหัวหน้าที่มาจากอังกฤษเค้าไปกินมา แล้วมาเล่าให้ฟัง ..

 

แน่นอนว่าเรื่องกินนี่ถึงไหนถึงกันอยู่แล้ว วันนี้เลยได้มีโอกาสไปลองมา

 

เริ่มจาก ห้องอาหารนี้ มีคอร์สให้เราเลือกได้แค่สามอย่าง คือ อาหารไทย, International หรือมังสะวิรัติ

 

กับเพิ่มเติมได้ว่าไม่กินอะไรบ้าง … แค่นั้น !!

 

หลังจากเลือกอาหารและเครื่องดื่มเสร็จ .. สิ่งที่ต้องทำคือเอาโทรศัพท์มือถือใส่กล่องล็อคเก็บไว้ข้างนอก

 

แล้วจะมีพนักงานเสริฟ ซึ่งที่นี่จะเรียกว่าไกด์ .. มาพาเราเข้าไปยังโต๊ะอาหาร พร้อมทั้งจะเป็นบริกรให้เรา ดูแลเราตลอดมือนี้

 

ซึ่งไกด์ทุกคนที่นี่ เป็นคนตาบอด !!!  … ครั้งนี้ที่ไปได้ “พี่หมู” มาเป็นไกด์ให้

 

เริ่มจากเดินเกาะไหล่พี่หมู เดินเข้าไป เลี้ยวซ้าย .. เลี้ยวขวาอีกนิดหน่อย รู้สึกอีกทีก็ไม่สามารถมองเห็นอะไรแล้ว

 

ที่ว่ามองไม่เห็นนี่คือมองไม่เห็นอะไรเลยจริงๆนะ มืดกว่าที่เคยเจอมาทั้งหมด … ชนิดที่ว่าเอามือมาโบกๆข้างหน้า ยังไม่เห็นด้วยซ้่ำไป

 

หลังจากเดินเกาะๆมานั่งที่โต๊ะ พี่หมูก็จะแนะนำสิ่งที่อยู่บนโต๊ะ .. ด้านซ้ายเป็นซ้อม ด้านขวามีมืดกับช้อน ถัดไปอีกนิดเป็นผ้ากันเปื้อน

 

ถัดไปด้านบนอีกนิดจะเป็นแก้วน้ำเปล่า .. ซึ่งหลังจากนั่งหายใจและทักทายกันแป๊บนึง พี่หมูก็จะเอาเครื่องดื่มมาเสริฟ

 

แล้วตามมาด้วย Appetizer … ต้องบอกว่าตอนนั้นตื่นเต้น สิ่งที่ทำได้คือ เอาช้อนจิ้มๆลงไป แล้วเอามาแตะปลายลิ้น ..

Appetizer

 

ผมสั่งเซ็ต International .. Appetizer ที่รู้สึกได้คือ เส้นๆกรอบๆ (คิดในใจว่าเป็นฟาง) .. มีผัก น้ำราด แคนตาลูปด้วยชิ้นนึง กับปลาหมึก

 

ตอนกินนี่ถ้ามีกล้องถ่ายก็คงตลกพิลึก ..

 

บางคำตักเข้าปากโดยไม่มีอะไรเลย .. บางคำหมี่กรอบเต็มปากมูมมามม .. บางคำก็เป็นผักชิ้นใหญ่โค้งงอมาถึงจมูก

 

นั่งกินไปแป๊บนึงพี่หมูก็จะมาถามอยู่เรื่อยๆว่าเรียบร้อยมั๊ย รสชาติเป็นไงบ้าง กินอะไรเข้าไปแล้วบ้าง …

Main course

 

ถัดมาเป็นจานหลัก .. เป็นเป็ดในซอสอะไรซักอย่าง .. กับผัก … แล้วก็มีส้มสองชิ้น ..

 

จริงๆแล้วส้มเนี่ยมารู้ทีหลัง ตอนกินนี่ตกใจมาก .. อะไรดึ๋ยๆเอาลิ้นดันๆแล้วมีน้ำเปรี้ยวๆออกมาเต็มเลย .. แต่ว่าหาอีกก็ไม่มีแล้ว สนุกดี 🙂

 

ของหวาน .. เป็นครีม ข้างในเป็นไอติม .. ข้างๆเป็นฟรุตสลัด .. รสชาติแตกต่างกันสนุกปากดี

 

….

 

สรุปสิ่งที่ได้จากอาหาารมื้อนี้จริงๆคงอยู่ที่ึความรู้สึกมากกว่า .. เพิ่งรู้ว่าตาเราสามารถมองไม่เห็นได้ขนาดนี้ .. มันมืดมากก

 

ชนิดที่คำว่า มืดแปดด้าน ยังน้อยไปด้วยซ้ำ .. ไม่ต้องสนใจว่าอาหารหน้าตาเป็นไง .. ไม่ต้องเห็นอะไรทั้งนั้น

 

ประสาทสัมผัสอื่นๆทำงานได้ดีอย่างหน้าประหลาด … ตื่นเต้นในทุกๆคำที่ตักเข้าปาก 🙂

 

อีกอย่างที่รู้สึกได้ดีคือ เมือตอนอยู่ข้างนอก พี่หมูดูเป็นคนที่ต้องการความช่วยเหลือ .. แต่เมื่อเราเดินเข้าไปในดินแดนของเค้า …

 

เราตังหากที่ต้องการความช่วยเหลือ .. พี่หมูสามารถรินน้ำใส่แก้วได้อย่างพอดี ถ้าเป็นเราก็คงหกไปนานแล้ว

 

พี่หมูสามารถรู้ด้วยว่าอาหารที่ถือมาเป็นของใคร … พาเราเดินเข้าเดินออกร้านอาหารได้โดยไม่ชนแขกคนอื่นๆซักนิด

 

… สุดท้าย ก็ขอเชิญชวนนะคับ .. ลองมาเป็นคนตาบอดกันซักมื้อ .. คิดว่าแต่ละคนน่าจะได้อะไรไม่เหมือนกัน …

 

แล้วจะได้รู้จักความมืด .. ว่ามันมืดกว่าที่คิดจริงๆ 🙂

 

ปล. ข้อมูลร้านนี้ ดูได้ที่ http://didexperience.com/ หรือ https://www.facebook.com/DineintheDark

ปล2. ขออภัยที่รูปเป็นแบบนี้ .. แต่คิดว่ามันสื่อได้ดีกว่าอะไรทั้งหมดจริงๆ 🙂

กล้องตรวจจับความเร็วบนโทลเวย์

หลังจากที่โทลเวย์ติดกล้องจับความเร็วแบบใหม่แล้วขับผ่านไปสามสี่รอบ ..

 

เลยลองอัดวิดีโอมาให้ดูว่าไอกล้องจับความเร็วที่ว่าหน้าตาเป็นยังไง ..

 

ลองตัดๆดู ได้ตามวิดีโอข้างล่างนี้ .. 🙂

httpvh://vimeo.com/39926019

เข้าใจว่ามีกล้องเป็นระยะๆ จากที่เห็นด้วยตัวเองขาออกจากลาดพร้าวถึงรังสิตที่เห็นก็สามตัว ตามแผนที่ด้านล่าง

[mappress mapid=”14″]

ไม่ได้สนับสนุนให้ขับรถเร็ว แต่ก็รู้เรื่องพวกนี้ไว้บ้างก็ดี ^_^

ในที่สุดก็ได้เรียนโทจนได้ …

จริงๆสมัครเรียนโทมันอาจจะไม่ได้ยากเย็นขนาดนี้ ..

 

ถ้าเราไม่ทันให้มันยากเอง …

 

เรื่องของเรื่องคือว่า เดือนที่ผ่านมาต้องไปอังกฤษ …แต่ดันไม่ได้ส่งเอกสารหลักฐานการสมัคร

 

ดวงดีมากที่ระหว่างอยู่ที่อังกฤษ เจ้าหน้าที่ของบัญชีจุฬาฯ เค้าโทรไปแต่ไม่ได้รับ

 

แล้วเราก็ดันเอะใจ ลองเอาเบอร์ไป Search ดู (ซึ่งมี Miss call ประมาณ 10 เบอร์ แต่ลอง Search แค่เบอร์เดียว)

 

ลองโทรกลับไป เลยรู้ว่างานเข้าแล้ว .. เพราะจะไม่มีสิทธิสอบสัมภาษณ์เอา ><~~

 

หลังจากนั้น ความเดือดร้อนได้แผ่ไปสู่วงกว้างอย่างรวดเร็ว เดือดร้อนกันถ้วนหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน 🙂

 

ต้องขอขอบคุณผู้มีอุปการะคุณดังต่อไปนี้ ที่ทำให้ผมได้เข้าเรียนปริญญาโทจนได้ 😉

 

ขอบคุณ เป็ด เหมือน น้าโอ น้าพร คุณตาคุณยาย … ที่ช่วยค้นหาเอกสารทั้งหลาย ทั้งปีนประตูบ้าน คุ้ยห้อง แล้วเอาไปส่งให้ที่จุฬาฯ 🙂

ขอบคุณ พี่ฝน กะแม่ ที่ไปรับที่สนามบิน .. ทำให้หลังจากออกจากเครื่องบินชม.เดียวก็สามารถไปอยู่ที่จุฬาฯ เพื่อรอสอบสัมภาษณ์ได้

ขอบคุณ พี่เจด้า สำหรับใบรับรองงาน ที่ได้เร็วปานสายฟ้าแลบ

และขอขอบคุณ พี่เมย์ พี่กร พี่ป๋อม ที่ช่วยเขียน Recommendation ให้ในเวลาอันจำกัดครับ

 

ใช้ดวงไปมากเหลือเกิน สำหรับการเรียนโทครั้งนี้ …

 

แล้วเจอกัน … ครับ

Hello … London

แฮ่ … กลับมาแล้ว หลังจากเหนื่อยล้าจากการไปเที่ยวลอนดอนในเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมา

ก่อนอื่นก็ต้องขอบคุณบริษัทอย่างมากที่ออกค่าใช้จ่ายค่ารถไฟค่าโรงแรมในทริปนี้ให้ทั้งหมด วะฮ่าๆๆๆ

งั้นก็เริ่มเลยละกัน

ตั๋วรถไฟ

เริ่มจากเช้าวันเสาร์ที่ 10 นั่งรถไฟเที่ยวเกือบๆแปดโมงจาก Leicester ไปลอนดอน

สถานีรถไฟ Leicester

ถึงสถานี St. Pancras International (จำชื่อนี้ไว้ให้ดีนะ ตอนหลังมีฮาด้วย – -“) .. เราก็ต่อรถไฟใต้ดินไปแถวที่พัก

ที่ทำงานก็ซื้อตัววันให้ ใช้ได้ทั้งรถไฟใต้ดินกะรถเมล์เลย …

ที่พักก็โครตจะอยู่กลางแหล่งท่องเที่ยวเลย อยู่ที่ Country Hall ติด London Eye .. กะข้ามถนนไปก็ถึง Big ben

Big Ben

มาถึงรร.ก็เอาของฝากไว้ก่อน แล้วไปเดินเล่น Big ben … กินอาหารเช้า .. แล้วเดินเล่นไปที่ National Gallery

ตึกอะไรซักอย่าง เยื้องๆ Big Ben
Panorama หน้า National Gallery

แน่นอน.. ว่าหน้าตาอย่างเราก็ดูภาพใน Gallery ไม่รู้เรื่องอยู่แล้ว .. พยายามภาพจากคนดังๆอย่างแวนโก๊ะ … เจอแล้วก็ไม่เคยเห็นอยู่ดี

มองออกมาจากตึก National Gallery

เสร็จจาก National Gallery ก็ไปต่อกันที่ Science Museum กันต่อ (โครตจะมีสาระอะ) …

Science Museum
คอมพิวเตอร์สมัยก่อน
อันนี้เด็ดมาก .. เครื่องที่ใช้ช่วยเหลือคนงานเหมืองถล่มในชิลี

หลังจากนั้นไปกินอาหารสเปนกัน .. (เป็นหนึ่งในเมื้อที่แพงที่สุดเลยทีเดียว) …

ร้านที่กินคือร้าน CASA อะไรซักอย่างสีส้มๆด้านขวา .. เน้น Street View (แพงโครต)

หลังจากนั้นกลับไปแถวที่พัก .. ขึ้น London Eye … โชคดีมากที่ได้รอบประมาณห้าโมงครึ่ง มันใกล้เวลาพระอาทิตย์ตกพอดี

ในแคปซูล London Eye
เมื่อยู่ใต้ London Eye

ดังจะเห็นได้จากวิดีโอ (Time Lapse) ด้านล่าง 🙂

 httpvh://www.youtube.com/watch?v=vpnRSzqQdOw

เสร็จแล้วก็เช็คอินเข้าที่พัก .. เอนหลังประมาณชม.นึง ก็ออกไปเที่ยวกันต่อที่ Tower of London กะ Tower Bridge

Tower of London
Tower of London
London Bridge

กินอาหารเย็นง่ายๆ แล้วก็ขึ้นรถเมล์กลับที่พัก … นอน

วันถัดมาก็ตื่นเช้า กินอาหารเช้าที่โรงแรมเสร็จแล้วไปเดินเล่นที่ตลาดชื่อไรซักอย่างแถว Nothing Hill ..

แล้วก็ไปชอปปิ้งแถว Oxford Street .. ที่โครตจะรวมทุกๆแบนด์ทั้งโลกมาไว้ที่นี่กันเลยทีเดียว

Oxford Street

เจอคนไทยเยอะเหมือนกัน .. เสร็จแล้วก็ไปต่อกันที่ Harrods … เจอกระเป๋าถือบ้าอะไร ใบละตั้งเกือบแสน – -“

Harrods

ต่อมาไป Convent Garden เหมือนกับจตุจักรบ้านเรา แต่เคนเยอะกว่ามั้ง .. มีของแบรนด์พอสมควร มีพวก Street Show เยอะเลย

ไหนตั๋วก็ขึ้นได้ทุกอย่าง เลยลองรถเมล์ชั้นบนดูบ้าง

หลังจากนั้นก็กลับที่พักไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ที่รร. แล้วกลับไปขึ้นรถไฟกลับ Leicester

แต่มันมีอะไรเยอะกว่านั้น คือ ไปไม่ทันรถไฟรอบทุ่มนึงที่เค้าจองที่นั่งไว้ให้ T_T แถมยังไปผิดสถานีอีก ดันไปสถานี King cross ที่อยู่ติดๆกัน

รถไฟใต้ดิน (ที่นี่เรียก Tube)

ยังดีที่ตั๋วมันใช้ขึ้นรถเที่ยวถัดไปได้ .. แต่ต้องหาที่นั่งที่ไม่ได้จองไว้เอาเอง … เกือบไปแล้วมั๊ยล่ะ

ทั้งหมดก็ประมาณนี้  … กลับมาแล้วหลับเป็นตาย เดินเยอะมากๆๆๆๆ ปวดขาสุดๆไปเลย

Big Ben at night

ขอปิดท้ายด้วย Big Ben ยามค่ำคืน

Scroll to top