Days

 
พอดีช่วงนี้ได้อ่านหนังสือบางเล่ม ดูหนังบางเรื่อง บวกกับเรื่องราวของคนอื่นที่ผ่านหูผ่านตาเข้ามาราวกับรู้ว่าควรจะโพล่มาให้ได้ยินตอนนี้
 
แล้วก็นานมากๆๆๆแล้ว ที่ไม่ได้ขีดเขียนข้อความที่ไม่ต้องคอยตรวจสอบความถูกผิด เขียนมาเพราะจินตนาการ ไม่ใช่ความรู้
 
เรื่องราวต่างๆที่ผ่านเข้ามา ทำให้ชวนคิดถึงการดำเนินชีวิตในยุคซึ่งคำว่า "โลกาภิวัฒน์" แทบจะไม่ปรากฏให้เห็นแล้ว
 
การดำเนินชีวิตของ "คน" ที่เริ่มถูกเทคโนโลยีและสังคมเข้าครอบงำ …
 
คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง ค่อยๆกลายเป็นสิ่งจำเป็นในเวลาชั่วพริบตา
 
การดำเนินชีวิตที่มีแต่ความเร่งรีบ อย่างกับห้านาทีที่พักหายใจจะทำให้ใครตายงั้นล่ะ
 
ตื่นตอนเช้าไปเบียดเสียดกันบทท้องถนน 
 
มีบ้าน แต่กลับต้องไปอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆใจกลางเมือง
 
ซื้อรถราคาเป็นล้าน เพื่อขับไปวิ่งในลู่วิ่งแคบๆที่ฟิตเนส 
 
ฯลฯ
 
มีกี่ครั้งที่ทำอะไรที่อยากทำ… แต่อาจจะไม่ควรจะทำ…
 
สุดท้าย อย่าทำให้ตัวเองเป็นปลวก… ที่กัดแทะไม้ไปวันๆ ตายไปก็มีตัวอื่นมาแทะต่อ… เราเป็นอะไรได้มากกว่านั้น ว่ามั๊ย
 
 

Windows Crash by : a347bus.sys

 
พอดีว่ามีเพื่อนท่านนึงได้เอาคอมพิวเตอร์มาให้ซ่อม เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา เลยเอามาเก็บไว้เป็น Case Study ไว้หน่อย เผื่อจะมีใครเจอปัญหาแบบเดียวกัน
 
(ซึ่งไม่น่าจะมี เอิ้กๆ) เริ่มเลยละกัน
 
อาการขั้นแรกเกิดจากว่า เปิดเครื่องมาปุ๊บแล้ว พอถึงขั้นตอนการโหลดเข้า Windows XP (ที่เป็น Logo แล้วมีแถบสีฟ้าวิ่งๆด้านล่าง) พอผ่านหน้านี้ไป ก็เงียบเลย
 
รอซักพักใหญ่ๆ ก็ยังเงียบอยู่ หลังจากประชุมกันอย่างลับๆ(กับใครวะ..) ก็เลยสรุปได้ขั้นต้นว่าวินโดว์เจ๊ง – -" … 
 
มาดูวิธีแก้ไขกัน ขั้นตอนแรกหลังจากเข้าวินโดว์ไม่ได้ก็คือ ลงวินโดว์ใหม่ เอ้ย ไม่ใช่ๆ คือการเข้า Safe Mode (กด F8 ก่อนโหลดเข้า Windows)
 
เมื่อเข้า Safe Mode รอบแรก ขณะที่กำลังโหลด System file ก็มี ข้อความขึ้นมาว่า ให้กด ESC เพื่อทำการ Cancel การโหลดไฟล์ a347bus.sys
 
ซึ่งรอบแรกก็ไม่ได้กดอะไร รอซักพักอาการก็เหมือนเดิม คือจอมืดๆนิ่งไปเลยย
 
รอบต่อมาลอง Restart ใหม่ แล้วลอง Cancel เพื่อ ไม่โหลดไฟล์ a347bus.sys ปรากฏว่ารอไปประมาณ 5 นาที ก็เข้า Safemode ได้
 
(ไอเราก็ว่างเนอะ นั่งรอได้) เมื่อเข้า Safemode ได้ อันดับแรกที่ลองคือ ลอง ใช้ System Restore ย้อนเครื่องกลับไปประมาณเดือน มกราคม
 
ปรากฏว่า ไม่สำเร็จ และหลังจากที่ลองค้นหาด้วย Google ดูแล้ว พบว่าไฟล์ปัญหา (a347bus.sys) เป็นไฟล์ของโปรแกรม Alcohol 120%
 
ซึ่งก็ไม่สามารถ Uninstall ใน Safemode ได้.. แย่จริงๆ ต่อมาลองเข้า Device Manager ก็พบว่ามี driver ตัวนึง Error
 
คือ "Plug and Play BIOS Extension" ลอง Update Drivers ก็ไม่สำเร็จ … หลังจากใช้ความพยายามอยู่ 3 วัน (ประมาณวันละ ครึ่งชม.)
 
ก็ได้วิธีแก้ไขแล้ว โดยเข้า Safemode แล้วไป Device Manager หาตัวที่ Error เลือก Disable มันซะ เพื่อไม่ให้มันโหลด
 
หลังจากนั้น restart ก็จะพบว่า .. เข้า windows ตามปกติได้แล้ววว  แล้วก็แน่นอน.. อย่างแรกที่ต้องทำคือ Uninstall Alcohol 120%  ออกก่อน
 
สุดท้ายก็เป็นอันเสร็จพิธี .. สรุปว่าน่าจะเป็นเพราะ File Driver ของเจ้า Alcohol 120% เจ๊ง… เลยทำให้ Windows บูตไม่ขึ้นไปด้วยย
 
^^
 
 

All About Feb 08

 

ช่วงที่ผ่านมาก็มีหลายๆอย่างที่เกิดขึ้นแล้วก็ลืมไปบ้างเหมือนกัน (แล้วจะพูดทำไม – -")

เริ่มจาก ช่วงวันที่ 14-15 ได้ไปเทรนเกี่ยวกับ Message ของ SWIFT ทางด้านการซื้อขายและส่งมอบหลักทรัพย์ เป็นคอร์สภาษาอังกฤษ

ค่าแทรนก็แพงอยู่ สองวันใช้ไป 460 Euro หุหุ ไม่รู้ได้กลับมาคุ้มรึป่าว 😛 ก็เทรนที่รร.แลนมาร์คตรงสุขุมวิท มีรูปมาประกอบเล็กน้อย

Swift2

หลังจากไปเทรนได้สองวัน อาทิตย์ถัดมาก็ลางานทั้งอาทิตย์ไปรับรับปริญญา จริงๆก็ซ้อมไม่กี่วันหรอก แต่ก็กลัวเหนื่อยๆด้วย

เดี๋ยวกลายเป็นว่าซ้อมก็ไม่ค่อยได้เรื่อง ไปทำงานเหนื่อยๆก็ไม่ดี เลยลาเลยดีกว่า อิอิ ออกแนวอยากพักๆด้วยพอดี ^^

18022008(001)-horz

ข้างบนนี้เป็นรูปตอนซ้อม ซ้อม 11 โมงถึง หกโมงกว่าโดยไม่ได้กินอะไรเรย หิวมากๆเลย เดี๋ยวเรื่องรับปริญญาค่อยอัพกันอีกทีเน้อ

ตอนนี้ก็กลับมาทำงานแล้ว (พูดเหมือนได้ปิดเทอมเลย) งานเยอะแยะมากมายเลย

ครั้งนี้คงไว้แค่นี้ก่อน เดี๋ยวคงได้อัพอีกทีเร็วๆนี้ พร้อมรูปรับปริญญาเน้อ ^^

PS. ครั้งนี้ Up Space ด้วย Window Live Writer พร้อมกับทำรูปด้วย PhotoScape ถ้ามีเวลาเราค่อยมีทำ Review เจ้าโปรแกรมสองตัวนี้กัน ^^

Unlucky Night

 
เมื่อวาน (02/02/2008) ได้มีโอกาสพาตากับยาย ไปกราบพระศพสมเด็จพระพี่นางฯ มาด้วยย
 
ก็ไปกันตอนบ่ายๆ แดดร้อนมากมาย แต่การที่แดดร้อนก็มีข้อดีของมันคือ ทำให้เราได้รูปท้องฟ้า ที่ฟ๊าฟ้าโดยไม่ต้องพึ่ง CPL … ^^ (คุ้มกันมั๊ยเนี่ย…)
 
ตอนบ่ายๆก็มีไปกินอะไรกันเล็กน้อย… ก่อนที่ตอนเย็นๆ วิปจะโทรมานัด (แบบงงๆ) ว่าเดี่ยวขึ้นมาแล้วไปหาอะไรกินกัน ไอเราก็ไปแบบงงๆ
 
แวะรับวิปแล้วก็ไปเจอกับ เหมือน สตางค์ เก๋ เดี่ยว ตุ ที่ร้านกินดื่ม แถวๆพระอาทิตย์กินกันอยู่พักใหญ่ๆก็เป็นอันว่าเค้าจะไปต่อกันที่บริคบาร์ แต่เราก็ขอชิ่ง
 
เนื่องจากเอารถมากินไม่ค่อยอร่อย ^^ ก็เลยกะว่าแวะไปส่งน้องเหมือนแล้วก็กลับบ้าน แต่ว่า… พอกลับมาถึงรถ .. รถเจ้ากรรมก็ดันสตาร์ตไม่ติด
 
จังหวะแรกเปิดประตูด้วย Remote ก็ไม่ได้เลยสันนิษฐานก่อนเลยว่ากุญแจต้องมีปัญหาแน่ๆเลย (เหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว) ก็เลยะว่ากลับบ้านไปเอากุญแจสำรองมาลองดู
 
เลยนั่งแท๊กซี่ไปส่งเหมือน เสร็จจะกลับบ้านพอส่งเหมือนเสร็จก็ดันนึกขึ้นได้ว่า .. กุญแจบ้านอยู่ในรถนี่หว่า .. โอ๊ย !! พระเจ้า กรูต้องนั่งรถกลับไปเอากุญแจบ้านอีกใช่มั๊ยเนี่ย…
 
แต่ก็ไม่มีทางเลือก หลังจากไปเอากุญแจบ้านที่รถแล้วก็ไปเอากุญแจรถที่บ้าน (อ๊ะ ฟังดูงงๆมะ ) ก็กลับมาถึงรถที่ถนนพระอาทิตย์ตอนตีหนึ่งนิดๆ
 
ก็เลยลองเปิดประตูกับ Remote อีกอันดู ปรากฏว่า แง่วววว… ไม่ติด และขณะที่นั่งๆเซงอยู่ประมาณห้าวิ ก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวาย เลยออกมาดูก็เจอ
 
วัยรุ่นสองกลุ่มทะเลาะกัน.. ก็ไม่ได้สนใจ แต่อีกแป๊บนึงก็มีเสียงดัง   ปัง !! แล้วก็มีเสียงอื่นๆตามมาอีกมากมาย .. ตอนนั้นก็คิดในใจว่า
 
เฮ่ย.. นี่กรูยิ่งเซงๆอยู่ว่ารถสตาร์ถไม่ติดยังต้องมาคอยหลบห่ากระสุนอีกหรอวะเนี่ย… อันนี้ในใจนะเลยมีหยาบคายบ้าง เอิ้กๆ
 
หลังจาตำรวจมาก็คลี่คลายไป กลับมาสู่ปัญหาของตัวเองต่อ .. แล้วจะทำไงกะรถล่ะทีนี้ .. หลังจากที่ได้ประชุมร่วมกับตัวเองแล้ว ได้ข้อสรุปว่า
 
น่าจะเป็นที่แบตมั้งลองหาใครช่วยพ่วงละกัน เลยเริ่มมองๆหาคนช่วยพ่วงแบต แต่ตอนั้นเกือบๆตีสอง ใครจะมาช่วยวะ ลองเรียกแท๊กซี่สองสามคันก็ไม่ได้ผล
 
มีคนแนะนำให้ลองโทรไปที่ 1644 สวพ.91 (ตอนขับรถไม่เคยคิดจะฟังอ่ะ คนเรา… )
 
พอลองโทรไป (เหมือนจะได้ออกอากาศด้วย กร๊ากๆๆ) ไม่ถึงห้านาทีก็มีพี่แท๊กซี่คนนึงมาช่วยย เค้าก็ช่วยพ่วงแบต แต่ตอนกำลังจะพ่วงก็มีพี่อีกคนขี่จักรยานมา ย้ำว่าขี่จักรยาน ….
 
ก็มาช่วยๆกัน ตอนนั้นในใจคิดเลยว่า คนไทยใจดีมีเยอะจริงๆ ก็ช่วยทำกันอยู่พักนึงพอรถสตาร์ถติดพี่แท็กซี่ก็ไป เราก็ให้เงินเค้าเล็กน้อยเป็นสินน้ำใจ … เหลือพี่ที่ขี่จักรยามาช่วย
 
(ลืมบอกว่าเค้าฟังวิทยุผ่านมือถือ) เค้าก็ช่วยดูต่อให้ว่าจะได้ไม่ดับกลางทาง แต่ๆๆ มันเริ่มรู้สึกแปลกๆ เมื่อเค้าขอเงินไปซื้อน้ำกลั่นมาเติมรถซึ่งร้านเค้าไม่ขายก็คือซื้อไม่ได้
 
แต่ตัง 100 นึงทีเค้าเอาไปก็ไม่คืน (แต่ในใจก็กะว่าจะให้เค้าอยู่แล้ว)  ไม่เพียงแค่นั้นตอนจะเสร็จแล้วเค้าก็มายืนข้างๆเบาะ ไอเราก็ได้ยินเสียงแกรกๆ
 
หันไปดูคือเจอว่าเค้าจำลังจะหยิบ ถุงใส่เหรียญที่วางอยู่.. เลยเอ่ะใจแปลกๆ แถมยังภพูดอีกว่า "ถุงเหรียญอะไรไม่รู้วางอยู่ " 
 
พร้อมถึงนึกได้ว่าเค้าพยายามจะให้เราไปซื้อน้ำกลั่นเอง ทั้งๆที่สตาร์ถรถทิ้งไว้ แต่โชคดีว่าเราได้ไปเพราะเห็นว่ารถสตาร์ถอยู่ ..เฮ้อ เกือบไปแล้วว
 
แถมตอนจะออก ยังเคาะกระจกถามว่าในรถมีน้ำกินไปขอตังซื้อน้ำหน่อย ..
 
ตอนนั้นทนไม่ไหวก็เลยบอกไปว่า "ตังค่าซื้อน้ำเมื่อกี้ร้อยนึงยังไม่ได้คืน อันนั้นผมให้พี่" .. แล้วขับออกมาเลย … ก็สรุปว่าถึงบ้านตอนตีสามม … เอิ้กๆ
 
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คนไทยดีๆที่มีน้ำใจยังมีอีกเยอะ ไม่ได้หายากอย่างที่หลายๆคนบอกไว้
 
แต่บางครั้งโจรในคราบนักบุญก็ยังมีให้เห็นเหมือนกัน … ระวังไว้บ้างก็ดี
 
แนะนำว่าถ้าเป็นผู้หญิงกลับบ้านนอนดีกว่า. ค่อยกลับมาเอารถวันอื่นเห้อ..
 
เฮ้อ.. ไปทำบุญหน่อยดีกว่ามั๊ยเนี่ย…. ไอเดี่ยวพาซวยแน่ๆเลย
 
PS. ขอบคุณแท๊กซี่คันนั้นด้วย ไม่ได้ถามชื่อแต่จำได้คุ้นๆว่าทะเบียน มง 4755 สีเขียวเหลือง (มั้ง)
 
PS2. ตอนรอคนมาช่วยพ่วงแบตนี่ ฝนตกอีกตังหาก เปียกด้วย…  – -"
 

Karnjanaburi with SWIFT Thailand

 
เสาร์ อาทิตย์ที่ผ่านมา ได้ไปเที่ยว… เอ๊ะ หรือไปทำงาน … ที่กาญจนบุรีมา
 
อันเนื่องมาจากว่า สมาคมเพื่อการสื่อสารสากลระหว่างธนาคาร (แห่งประเทศไทย)  ได้จัดทริปขึ้นไปพักผ่อนที่จังหวัดกาญจนบุรี
 
เลยได้มีโอกาสไปร่วมทริปนี้ เพราะมีโอกาสที่จะต้องดูแล SWIFT ต่อในอนาคตอันใกล้นี้
 
ทริปนี้ก็ได้ไปกับพี่ในฝ่ายหนึ่งคน กับพี่ User อีกคนนึง รวมเป็น 3 คนที่เป็นตัวแทนของศูนยรับฝากหลักทรัพยแห่งประเทศไทย
 
เริ่มออกเดืนทางโดยรถบัส จากธนาคารกสิกรไทย สำนักงานใหญ่ (ตรงอารีย์) ประมาณ 7 โมงเช้า ซึ่งที่แรกที่ได้แวะ คือ
 
โรงถ่ายภาพยนตร์เรื่อง สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ซึ่งอันที่จริงก็มีการแจ้งมาแล้วว่าแดดจะร้อนมากแต่ด้วยความเปรี้ยว หมวกเหมิกก็ไม่ได้เอามา
 
แต่มันจะดำไปกว่านี้มั๊ยเนี่ย เอิ้กๆ … อันที่จริงถ้าได้ดูหนังมาก่อน่าจะตื่นตาตื่นใจกว่านี้ แต่แค่นี้ก็มีอะไรให้ถ่ายเยอะเหมือนกัน (จริงๆตั้งใจไปถ่ายรูป)
 
ก็เดินเล่นอยู่ในโรงถ่ายพักใหญ่ๆ ถ่ายรูปไปนิดหน่อยเพราะต้องทำเวลา เนื่องจากเวลามีจำกัด
 
ต่อมาก็ไปกินข้าวเที่ยง ดูพิพิธพันธ์สงครามเล็กน้อย และก็ตรงไปยังที่พัก คือ The Legacy River Kwai Resort
 
ตอนแรกก็คิดว่าพักผ่อนเฉยๆ แต่แล้วเค้าก็มีกิจกรรมสันทนาการเล็กน้อย ซึ่งก็จับกลุ่มเปลี่ยนไปๆมา
 
ปรากฎว่ากลุ่มสุดท้าย ที่จะเป็นกลุ่มถาวรนี่มีแต่พี่ๆที่ดูแล้วน่าจะเป็นระดับบริหารทั้งนั้นเลยย.. เลยทำเอากิจกรรมที่เหลือ แทบจะนั่งตัวลีบตลอดเลย
 
ก็ตอนเย็นมีกิจกรรมเล็กน้อยให้ส่งตัวแทนไปร้องเพลง … แน่นอนธีศิษฎ์ชิ่งก่อนเพื่อน เอิ้กๆ
 
คืนแรกก็ผ่านไป ที่นี่ไม่ได้เก็บภาพห้องพักไว้ เพราะรู้สึกว่าไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เลยอย่า review ดีกวา
 
วันอาทิตย์ ก็ตื่นเช้าไปกินอาหารเช้าของ resort สายๆก็ออกจากที่พัก แวะทานเข้าวเที่ยงบนแพล่องไปล่องมาอยู่แป๊บนึง
 
ก็ไปต่อที่วัดถ้ำเสือ ซึ่งอันที่จริงจะมีวัดไทยกะวัดจีนอยู่ติดกัน แต่ด้วยเวลาอันจำกัดเลยไปวัดไทยได้อย่างเดียว…
 
และสุดท้ายเดินทางกลับมาถึงกรุงเทพฯก็ทุ่มนึงได้ เหนื่อยมากมายยย
 
ยัง… ยังไม่จบ…………………………….
 
หลังจากมาถึงบ้านก็เอารถออกไปเอาผ้าที่ร้าน ขากลับก็ขับมาในซอยแถวๆบ้าน
 
ขณะที่ขับๆอยู่ ก็มีรถมอเตอร์ไซค์กำลังจะแซงแท็กซี่สีชมพูคนนึง แล้วทันใดนั้นแท็กซี่คันนั้นก็ดันจะแซงคันข้างหน้าเหมือนกัน
 
เลยกลายเป็นว่า แท็กซี่เบียดมอเตอร์ไซค์ล้มไปเลย แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อแท็กซี่มันไม่ยอมจอด
 
ไอเราก็เห็นมอไซค์เค้าพอจะลุกขึ้นได้ วิญญาณความยุติธรรมก็เข้าสิง "เฮ่ย มันทำงี้ได้ไงวะ ชนแล้วหนีนี่หว่า" งี้ต้องแจ้งตำรวจ
 
เลยรีบเหยียบตามมันไป แต่ก็เนื่องจากซอยเล็กบวกกับมีลูกคลื่นเยอะและรถสวนมาเยอะมาก ทำให้ห่างจากแท็กซี่ไปซักระยะ
 
พอถึงสามแยกก็เห็นว่ามันเลี้ยวซ้าย เลยตามไปด้วยความเร็วสูง(แต่ไม่มาก เพราะมันอยู่ในซอย เอิ้กๆ)
 
หลังจากตามมาซักแป๊บ ก็ทันแท๊กซี่สีชมพู ก็กดมือถือจะโทรออก แต่ทันใดนั้นก็เห็นว่า เฮ่ยมันมีสีชมพูสองคันติดกันอ่ะ แล้วคันไหนล่ะนั่นน่ะ
 
– -" เมื่อกี้ตอนชนก็กลางคืน ไฟก็มืดๆ แถมตามมาห่างๆ สุดท้ายรู้สึกผิดจริงๆ ไล่ตามมาตั้งนานช่วยไรไม่ได้เลย รู้งี้จอดรถลงไปดูเค้าดีกว่า … เนอะ…
 
และแล้ว Weekend เราก็หมดไปอย่างรวดเร็ว….
 
 
PS. รู้สึกว่าเล่าเรื่องขับรถได้ละเอียดกว่าไปกาญฯอีกแฮะ
 
PS2. จะรับปริญญาแล้ว เดี๋ยวจะเอากำหนดการมาลงอีกทีนะ (จะมีใครไปมั๊ยเนี่ย) 
 
 
Scroll to top